GULF ปักธงไทย Hub ดิจิทัลภูมิภาค! ชูโมเดล “พลังงานสะอาด-ดาต้าเซนเตอร์” สร้างความเชื่อมั่น

“GULF” โชว์วิสัยทัศน์พลังงานสะอาด–ดาต้าเซนเตอร์ ชูไทยก้าวสู่ศูนย์กลางข้อมูลภูมิภาค พร้อมผลักดันกฎหมายคุ้มครองข้อมูลสาธารณะ–สุขภาพ–การเงิน หนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน ในงาน Thailand Smart City 2026


นายสมิทธ์ พนมยงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยในงาน “Thailand Smart City 2026 Data Center พลิกประเทศ” จัดโดยโพสต์ทูเดย์ ว่า ปัจจุบันดีมานด์ไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของความต้องการพลังงานสะอาด ที่เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยแข่งขันได้ในภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยควรต้องวางแผนสู่การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างสมดุล

นายสมิทธ์ กล่าวว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้นของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในปัจจุบันเป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในอดีตดาต้าเซนเตอร์มักถูกใช้งานเพื่อสำรองข้อมูลที่สำคัญของบริษัทเป็นหลัก แต่ในวันนี้มันกำลังถูกใช้เพื่อประมวลผลเอไอ ที่แม้ไม่ได้มีการเคลื่อนที่ของข้อมูลมากเหมือนเดิม แต่จะเน้นในด้านการประมวลผล ซึ่งต้องใช้พลังงานไปสนับสนุนการทำงานของคอมพิวเตอร์มากขึ้นหลายเท่า

ทั้งนี้ในปัจจุบันเรื่องของพลังงานสะอาดถือเป็นแต้มต่อที่สำคัญให้กับประเทศไทยได้ เพราะประเทศสิงคโปร์ไม่มีพื้นที่มากนักสำหรับการทำฟาร์มโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ อีกทั้งมาเลเซีย และอินโดนีเซียกว่าครึ่งหนึ่งของพลังงานผลิตมาจากถ่านหิน ซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าประเทศไทยซึ่งพลังงานส่วนใหญ่มาจากก๊าซธรรมชาติถึงเกือบสองเท่า

ทั้งนี้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดจำเป็นจะต้องพิจารณาเรื่องของสมดุลของราคา รวมถึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความสะอาดและความมั่นคงของพลังงานไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากแผงโซลาร์เซลล์สามารถผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้แค่ราวสองถึงสามชั่วโมง หากต้องการที่จะลงทุนให้ครอบคลุมทุกช่วงเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน จะต้องลงทุนในโซลาร์เซลล์ให้มากขึ้นกว่าเดิมถึงเกือบห้าเท่า และลงทุนในแบตเตอรี่มากขึ้นอีกสี่เท่า

สิ่งนี้แม้จะทำให้พลังงานมาความสะอาดได้จริง แต่ก็ต้องแลกมากับราคาไฟฟ้าที่ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นอัตราเร็วของการเปลี่ยนผ่านจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะถ้าเปลี่ยนผ่านเร็วเกินไปค่าไฟโดยรวมของประเทศก็อาจสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อไปถึงความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ในขณะเดียวกันถ้าไปช้าเกินไปก็อาจจะเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน

ทุกวันนี้ประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาเรื่องกำลังการผลิตไฟฟ้าแต่อย่างใด แต่ปัญหามักเป็นเรื่องของสายส่ง ด้วยเหตุนี้การรวมดาต้าเซนเตอร์มาอยู่ที่ EEC ก็ช่วยให้การวางระบบและสายส่งมีความครอบคลุมได้มากขึ้น เช่น การวางสายส่งกำลังสูงเข้าไปในนิคมโดยตรง ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุน และช่วยประหยัดเรื่องของการใช้น้ำและไฟไปได้มาก

นายสมิทธ์ กล่าวว่า ประเทศที่มักจะเป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนดาต้าเซนเตอร์ในช่วงแรกเริ่มในภูมิภาคนี้มักจะเป็น สิงคโปร์เพราะมีกฎหมายในการรักษาอธิปไตยทางด้านข้อมูล (Data Sovereignty) ที่มีประสิทธิภาพสูง ดังนั้นในขณะนี้แม้ประเทศอย่างสิงคโปร์จะไม่ได้โดดเด่นเรื่องการใช้งานพลังงานสะอาด แต่สิงคโปร์มีความแข็งแกร่งมากเรื่องของอธิปไตยทางด้านข้อมูลเป็นอย่างมาก  เช่น การกำกับดูแลข้อมูลด้านการเงิน หรือข้อมูลสุขภาพของประชาชน ซึ่งรัฐบาลจะควบคุมให้ต้องอยู่ภายในประเทศเท่านั้น

ดังนั้นสำหรับประเทศไทยมีความจำเป็นเช่นกันที่จะต้องทบทวนกฎหมายเพื่อสร้างอธิปไตยทางด้านข้อมูลใหม่ประเทศไทยจะมีกฎหมายรองรับแต่นิยามของข้อมูลด้านความมั่นคง ยังคงมีการตีความที่ค่อนข้างแคบและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง โดยจะครอบคลุมเพียงแค่ข้อมูลทางด้านการทหาร และไม่รวมข้อมูลของฝั่งราชการและภาคประชาชน ด้วยเหตุนี้นักลงทุนจึงยังมีความมั่นใจในการเก็บข้อมูลในสิงคโปร์มากกว่า ซึ่งในเรื่องนี้ประเทศไทยก็จะต้องพิจารณาทบทวนหรือปรับเปลี่ยนกฎหมายเพื่อรองรับการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

Back to top button