โบรกเชียร์ซื้อ PTG เคาะเป้า 8.80 บาท ลุ้นกำไร Q4 ฟื้นตัว รับธุรกิจ “นอนออยล์” โตต่อ

บล.ดาโอ มองกำไรไตรมาส 4/2568 ของ PTG ฟื้นตัวเด่น จากการจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงวันหยุดยาวปลายปี และรวมไปถึงธุรกิจนอนออยล์ (Non-oil) ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะร้านกาแฟพันธุ์ไทย เร่งเดินหน้าขยายสาขาเพิ่ม พร้อมปรับสิทธิประโยชน์ของบัตร PT Max Card Plus ใหม่


บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าภาพรวมธุรกิจของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับรายได้จากธุรกิจ Non-oil ที่ปรับตัวขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจช่วยชดเชยค่าการตลาดที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

ในส่วนของปริมาณขายน้ำมัน นักวิเคราะห์ประเมินเชื่อว่าจะกลับมาขยายตัวตามฤดูกาลท่องเที่ยวและการเดินทางในช่วงวันหยุดปลายปี ขณะที่อุปสงค์น้ำมันดีเซลก็มีโอกาสปรับสูงขึ้นตามสภาพอากาศที่เย็นลงในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมให้ยอดขายน้ำมันโดยรวมของบริษัทฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจ Non-oil ยังมีแนวโน้มเติบโตชัดเจน โดยเฉพาะจากร้านกาแฟพันธุ์ไทยที่เดินหน้าขยายสาขาเชิงรุก ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจส่วนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทจะมีการปรับสิทธิประโยชน์ของบัตร PT Max Card Plus (MCP) แต่ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นน่าจะอยู่ในวงจำกัดและไม่กระทบต่อแนวโน้มโดยรวม

อย่างไรก็ดี ค่าการตลาดของบริษัทมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเล็กน้อย อันเป็นผลจากการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 1 บาทต่อลิตรในช่วงไตรมาส 4 แต่ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ดาโอ มองว่าภาวะดังกล่าวยังไม่กระทบต่อมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้และปีหน้า

ภายใต้สมมติฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นค่าการตลาดที่คาดว่าจะขยับขึ้นมาอยู่ในช่วง 1.67–1.70 บาทต่อลิตร เทียบกับระดับ 1.65 บาทในปี 2567 รวมถึงปริมาณขายน้ำมันที่น่าจะเติบโต 3% ในปี 2569 นักวิเคราะห์จึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท และ 2569 อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท ตามลำดับ และมากกว่ากำไร 1.0 พันล้านบาทที่คาดในปี 2567

เมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งหมดร่วมกัน บล.ดาโอ จึงปรับคำแนะนำต่อหุ้น PTG จากเดิม “ถือ” เป็น “ซื้อ” โดยยังคงราคาเป้าหมายปี 2569 ไว้ที่ 8.80 บาท อิงค่า PER ที่ 11.5 เท่า ซึ่งอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ราว –1.0 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทั้งนี้ ราคาหุ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมาได้ปรับตัวลงมาพอสมควร นักวิเคราะห์มองว่าได้สะท้อนความกังวลต่อการปรับสิทธิประโยชน์ MCP และแนวโน้มค่าการตลาดที่อ่อนตัวไปมากแล้ว

Back to top button