ศาลแพ่งยกฟ้อง! คดี “โบรกเกอร์” เรียกค่าเสียหาย “ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์” 10 ล้าน ฐานหมิ่นประมาท

“ศาลแพ่งชั้นต้น” พิจารณายกฟ้อง คดีโบรกเกอร์ดังเรียกค่าเสียหาย “ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์” จำนวน 10 ล้านบาท ฐานหมิ่นประมาทจากการโพสต์เฟซบุ๊ก ชี้ “ชอร์ตเซล-บอทเทรด” ทำตลาดหุ้นไทยตกต่ำ สภาพใกล้บ่อนพนัน พร้อมเดินหน้าฟ้องกลับหากโบรกเกอร์ดังกล่าวยื่นอุทธรณ์แถมแจ้งอาญาให้ติดคุก ถือเป็นการฟ้องกลั่นแกล้ง


ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า กรณีที่ก่อนหน้านี้ตนถูกบริษัทหลักทรัพย์รายใหญ่แห่งหนึ่งฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลแพ่ง ฐานละเมิดจากการหมิ่นประมาท เรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหาย 10 ล้านบาท ซึ่งศาลแพ่งชั้นต้นได้ตัดสินคดีเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมให้ยกฟ้อง กับให้บริษัทโบรกเกอร์ดังกล่าว ในฐานะโจทก์ชำระค่าธรรมเนียมศาล ค่าทนายความจำนวน 30,000 บาทแก่ตนในฐานะจำเลย

อย่างไรก็ตามบริษัทโบรกเกอร์รายดังกล่าวได้ยื่นอุทธรณ์แย้งคำตัดสินของศาลชั้นต้นให้พิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์ต่อไป พร้อมกันนั้นตนยังได้รับหมายเรียกจากสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ลงวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา ให้ไปมอบตัวฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาต่อบริษัทโบรกเกอร์ดังกล่าว ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ซึ่งตนได้เดินทางไปมอบตัวต่อ สน.ลุมพินีแล้ว โดยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พร้อมทั้งได้แนบคำตัดสินพิพากษาศาลแพ่งชั้นต้นที่ตัดสินให้ยกฟ้องแก่เจ้าพนักงานสืบสวนเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย

ทั้งนี้ ศาลแพ่งชั้นต้นได้วินิจฉัยว่า จำเลยได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊คตามฟ้อง แม้จะรับฟังได้ว่ามีการพาดพิงถึงโจทก์ แต่ก็เป็นเพียงการวิเคราะห์ข้อมูลของจำเลยในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ ทั้งเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นความจริง มีแหล่งที่มาของข้อมูลที่นำมาอ้างอิง จึงไม่ใช่การไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง ทั้งยังเป็นกรณีที่จำเลยในฐานะนักวิเคราะห์แสดงความคิดเห็นประกอบข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ประกอบ ย่อมเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตในส่วนของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเป็นการแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อเกิดความเชื่อมั่นต่อตลาดทุน สะท้อนปัญหาในตลาดหลักทรัพย์ การโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊คตามฟ้องจึงไม่เป็นการกระทำโดยละเมิด พิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า คดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากตนได้โพสต์ลงในหน้าแฟนเพจชื่อ ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน และ 13 พฤศจิกายน 2566 โดยได้นำเสนอบทความในทำนองว่า การที่ตลาดหุ้นไทยตกต่ำที่สุดในโลกนั้นเนื่องมาจากการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปล่อยให้มีการทำชอร์ตเซล และให้ใช้โปรแกรมโรบอทเทรด คือโปรแกรม High-Frequency Trading (HFT) ที่เน้นการซื้อขายถี่ แทนที่จะส่งเสริมการลงทุนระยะยาว จนทำให้ตลาดหุ้นไทยมีสภาพใกล้จะเป็นบ่อนพนัน ทั้งนี้ก็อาจเนื่องจากโครงสร้างของตลาดทรัพย์ฯ ผิดเพี้ยน คือให้มีตัวแทนของบริษัทโบรกเกอร์เข้ามาเป็นบอร์ด หรือคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงออกนโยบายให้มีการชอร์ตเซล และ HFT ทั้งที่เกิดผลเสียหายต่อตลาดหุ้นไทยอย่างหนัก แต่บริษัทโบรกเกอร์บางรายได้ผลประโยชน์มหาศาล โดยมีหลักฐานจากการที่มีส่วนแบ่งการตลาด (Market share) พุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด ในช่วงที่มีการนำ HFT มาใช้งาน เนื่องจากมีความได้เปรียบในด้านเทคโนโลยี และอาจมีสายสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์ขัดกันระหว่างบริษัทโบรกเกอร์รายนั้นกับผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์บางราย จึงเสนอให้มีการแก้ไขเรื่องดังกล่าว

ขณะที่ต่อมาในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 หลังบทความดังกล่าวเผยแพร่ ได้มีนักลงทุนรายย่อยนัดหมายประท้วงด้วยการหยุดซื้อขายหุ้นเป็นเวลา 1 วัน ทำให้มูลค่าซื้อขายลดลงอย่างชัดเจน จนทางสำนักงาน ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ต้องมีการแก้ไขปรับปรุงให้การทำชอร์ตเซล และ HFT ทำได้เฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูงจำนวน 100 หุ้น ใน SET100 เท่านั้น มีผลให้หุ้นส่วนใหญ่ที่เหลือราวๆ 780 หลักทรัพย์ ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของการชอร์ตเซล และ HFT ต่อไป

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ตั้งแต่ถูกบริษัทโบรกเกอร์รายใหญ่ดังกล่าวฟ้องร้อง ก็ได้พยายามเจรจาไกล่เกลี่ยมาโดยตลอด โดยแสดงเจตนาว่าหากการโพสต์ข้อความของตนไปพาดพิงต่อโจทก์ หรือบุคคลที่ 3 ให้ได้รับความเสียหายใดๆ ก็ยินดีจะแก้ไขทุเลาความเสียหาย เช่นยินดีจะโพสต์แก้ไข หรือเชิญสัมภาษณ์ออกทางสื่อโซเชียลเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด หรือลงข้อความขอโทษที่อาจมีการพาดพิงให้เสียหาย

อย่างไรก็ตามบริษัทโบรกเกอร์ที่เป็นโจทก์ไม่ยินดีเจรจาไกล่เกลี่ยใดๆ โดยมีเป้าประสงค์จะเรียกร้องค่าเสียหาย 10 ล้านบาท เป็นหลัก ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจทำไมเป็นเช่นนั้น ในเมื่อบริษัทโบรกเกอร์รายนี้ก็ไม่ได้เกิดความเสียหายใดๆ ไม่มีลูกค้ายกเลิกการเป็นลูกค้า ส่วนแบ่งการตลาดที่เคยได้รับสูงเท่าใดก็ยังได้รับอยู่เท่านั้น และที่ไปที่มาของค่าเสียหาย 10 ล้านบาท ก็ไม่ชัดเจน โดยอ้างว่าเป็นค่าโฆษณาระหว่างปี 2562-2565 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนที่จำเลยจะโพสต์ข้อความพาดพิงในปลายปี 2566

โดยสำหรับตนแล้วนับว่าเกิดความเสียหาย เพราะนับแต่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา ต้องเทียวขึ้นศาลเพื่อแก้คดี เมื่อชนะคดี เพราะศาลแพ่งชั้นต้นยกฟ้องแล้ว ก็ยังต้องมาขึ้นศาลอุทธรณ์อีก และบริษัทโบรกเกอร์ก็ยังไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อตำรวจเพื่อลงโทษจำคุกตนอีกทาง

ดังนั้นตนอาจมีความจำเป็นที่จะต้องปกป้องตนเอง โดยอาจพิจารณาฟ้องกลับบริษัทโบรกเกอร์ดังกล่าว รวมทั้งบอร์ดบริษัท ผู้บริหารบริษัท ฐานผู้ที่ฟ้องคดีมีเจตนาไม่สุจริตหรือบิดเบือนข้อจริงเพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลยอย่างเห็นได้ชัด โดยอาจเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท ซึ่งจะได้ปรึกษาฝ่ายกฎหมายเพื่อประกอบการตัดสินใจต่อไป

อย่างไรก็ตามหากบริษัทโบรกเกอร์ดังกล่าวยอมรับคำตัดสินศาลแพ่ง ชำระค่าธรรมเนียมศาลให้ตน 30,000 บาท ถอนคำอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ และถอนคดีอาญาจากสน.ลุมพินี ตนก็พร้อมที่จะยุติคดีทันที

Back to top button