GGC ขึ้นสังเวียนลุ้นทะยานแตะ 16 บ. อนาคตโตไม่ยั้ง!

GGC ขึ้นสังเวียนวันแรก ลุ้นราคาวิ่งทะยานแตะ 16 บ. จากราคา IPO ที่ 11.20 บ. ชูจุดแข็งผู้เชี่ยวชาญธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม - ความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับกลุ่ม PTTGC และกลุ่ม ปตท.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (2 พ.ค.) บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ เป็นวันแรก ด้วยราคา IPO ที่ 11.20 บาท

โดยนายจิราวัฒน์ นุริตานนท์ กรรมการผู้จัดการ ของ GGC เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรกในวันที่ 2 พ.ค.นี้ ใช้ชื่อย่อ GGC ในการซื้อขายหลักทรัพย์ฯ หลังจากที่เสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 246.66 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นประมาณ 25% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 11.20 บาท โดยได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน

สำหรับการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย โดยมีนักลงทุนจองซื้อเข้ามามากกว่าจำนวนที่เสนอขาย และเชื่อว่าด้วยพื้นฐานบริษัทที่แข็งแกร่ง และธุรกิจที่เป็นขาขึ้นจากการสนับสนุนของภาครัฐ และความต้องการใช้แฟตตี้ แอลกอฮอล์ที่มีมากขึ้นจากราคาปาล์มต่ำ ทำให้มั่นใจว่าหุ้นที่เข้าไปในตลาดจะมีการเติบโตได้

ทั้งนี้บริษัทมีจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. และหุ้นชำระแล้ว จำนวน 986.67 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 10 บาท ทุนชำระแล้ว 9.87 พันล้านบาท โดยเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 246.66 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 11.20 บาท และจัดสรรหุ้นส่วนเกินซึ่งยืมจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC จำนวน 37 ล้านหุ้น รวม 283.67 ล้านหุ้น

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทจะนำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิต โดยการสร้างโรงงานผลิตเมทิลเอสเทอร์แห่งที่ 2 และโครงการไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 1 ซึ่งจะเป็นโรงงานผลิตเอทานอล โรงไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภค ที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการต่อยอดไปยังการผลิคเคมีชีวภาพและพลาสติกชีวภาพในโครงการไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 ในอนาคต

ปัจจุบัน GGC มีกำลังการผลิตติดตั้งเมทิลเอสเทอร์ อยู่ที่ 300,000 ตันต่อปี กำลังการผลิตติดตั้งแฟตตี้แอลกอฮอล์อยู่ที่ 100,000 ตันต่อปี และกำลังการผลิตติดตั้งกลีเซอรีนบริสุทธิ์ อยู่ที่ 31,000 ตันต่อปี โดยอัตรากำลังการผลิตของโรงงานของบริษัทอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

“การเพิ่มกำลังการผลิตเมทิลเอสเทอร์ ด้วยการสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่มีกำลังการผลิตติดตั้งที่ 200,000 ตันต่อปี เป็นการตอบสนองต่อแนวโน้มในการเติบโตของอุปสงค์ที่ดีในอนาคต จากการประมาณการโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานว่า การบริโภคเมทิลเอสเทอร์ จะสูงขึ้นถึง 5 ล้านลิตรต่อวัน ภายในปี 2569 และ 14.0 ล้านลิตรต่อวัน ภายในปี 2579 นอกจากนี้ การมีโรงงานผลิตเมทิลเอสเทอร์ แห่งที่ 2 จะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการจัดสรรวัตถุดิบ และสามารถปรับกำลังการผลิตให้มีความเหมาะสม และเกิดประโยชน์สูงสุด” นายจิราวัฒน์ กล่าว

สำหรับโครงการไบโอคอมเพล็กซ์ มีแผนการพัฒนาเป็น 2 ระยะ ในระยะที่หนึ่ง บริษัทวางแผนที่จะร่วมทุนกับ บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS โดยโครงการไบโอคอมเพล็กซ์ระยะที่หนึ่ง จะประกอบด้วย โรงผลิตน้ำอ้อย และน้ำเชื่อมจากอ้อย ซึ่งมีกำลังการหีบอ้อย 2.4 ล้านตันต่อปี

ส่วนโรงงานเอทานอล ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 186 ล้านลิตรต่อปี โรงงานไฟฟ้าชีวมวลและผลิตไอน้ำความดันสูง เพื่อใช้ในโครงการฯ รวมทั้งสามารถจำหน่ายปริมาณการผลิตส่วนเกินให้แก่บุคคลภายนอก และโครงสร้างสาธารณูปโภคเพื่อรองรับโครงการฯ และโครงการธุรกิจเคมีชีวภาพในอนาคต

ขณะที่ในระยะที่สอง เพื่อให้มีการลงทุนต่อเนื่อง บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ และเคมีชีวภาพโดยใช้น้ำอ้อย เอทานอล ผลิตภัณฑ์อื่นๆ และผลิตภัณฑ์พลอยที่ได้จากโครงการ

ทั้งนี้ โรงงานผลิตเมทิลเอสเทอร์ แห่งที่ 2 อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ในปี 2561 ขณะที่โครงการไบโอคอมเพล็กซ์ อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ และรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุน รวมไปถึงการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม การออกแบบทางวิศวกรรม ตลอดจนการขออนุญาตต่างๆ ทางกฎหมาย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2562

“GGC เชื่อมั่นว่าประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม ประกอบกับความโดดเด่นในอุตสาหกรรมโอลีโอเคมีระดับภูมิภาค และศักยภาพที่จะเติบโตในอุตสาหกรรม และความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับกลุ่ม PTTGC และกลุ่ม ปตท. ชื่อเสียงด้านการค้าที่แข็งแกร่ง ผลิตภัณฑ์ และมาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพ รวมถึงทำเลที่ตั้งของโรงงานในเชิงยุทธศาสตร์ในเขตอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ใกล้ชิดทั้งกับคู่ค้า และลูกค้า จะช่วยส่งเสริมให้บริษัทเดินหน้าเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างมั่นคง พร้อมกับสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อไปในระยะยาวนายจิรวัฒน์ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงาน ในปี 2557 ปี 2558 และปี 2559 บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 15.71 หมื่นล้านบาท 14.54 หมื่นล้านบาทและ 17.20 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการ ลดลงร้อยละ 7.5 ในปี 2558 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.3 ในปี 2559 ตามลำดับ ซึ่งบริษัทประกอบด้วยรายได้จากการขายเมทิลเอสเทอร์ แฟตตี้แอลกอฮอล์ และกลีเซอรีน บริสุทธิ์ ตลอดจนผลิตภัณฑ์พลอยได้ ซึ่งรวมถึงกลีเซอรีนดิบ กลีเซอรีนสีเหลือง โพแทสเซียมซัลเฟต กากเมทิลเอสเทอร์ และกากแฟตตี้แอลกอฮอล์ และรายได้จากการขายวัตถุดิบซึ่งส่วนใหญ่คือน้ำมันปาล์มดิบ ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 59 บริษัทมีกำไร 936.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อนมีกำไร 807.68 ล้านบาท

 

ด้าน นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ บล.ภัทร ในฐานะตัวแทนของผู้รับประกันการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ GGC มาจากการสำรวจความต้องการซื้อหุ้นจากนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding) ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศที่ดี และมีความต้องการซื้อหุ้น โดยกลุ่มนักลงทุนสถาบันอย่างท่วมท้น แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพระยะยาวของบริษัท

ทั้งนี้ GGC จะเป็นเรือธง (Flag Ship) ของ PTTGC ในธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยมีความเข้มแข็งในส่วนของธุรกิจปาล์มเป็นหลัก แต่ในอนาคตจะขยายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล เพื่อต่อยอดเป็นไบโอพลาสติก รองรับการเกิดไบโอคอมเพล็กซ์ในอนาคต ที่มีฐานวัตถุดิบจากพืชเกษตรทั้งอ้อยและมันสำปะหลัง จากปัจจุบันที่ GGC มีรายได้หลักราว 60% มาจากธุรกิจไบโอดีเซล และ 40% มาจากแฟตตี้แอลกอฮอล์

 

อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า GGC จะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ SET วันนี้เป็นวันแรก โดยมีการคาดการณ์กันว่าราคาหุ้น GGC มีโอกาสปรับขึ้นถึง 16 บาท โดยคำนวณจากค่า P/E กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ที่ระดับ 12.43 เท่า และกำไรต่อหุ้นที่ 1.27 บาท

เนื่องจากบริษัทมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม ประกอบกับความโดดเด่นในอุตสาหกรรมโอลีโอเคมีระดับภูมิภาค รวมไปถึงศักยภาพที่จะเติบโตในอุตสาหกรรม และความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับกลุ่ม PTTGC และกลุ่ม ปตท. นอกจากนี้บริษัทยังมีชื่อเสียงด้านการค้าที่แข็งแกร่งและมาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพ

Back to top button