โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” STI อัพประมาณกำไรปี 63-64 พร้อมเคาะเป้าใหม่ 10 บ.

โบรกฯเชียร์ “ซื้อ” STI อัพประมาณกำไรปี 63-64 พร้อมเคาะเป้าใหม่ 10 บ.


บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ขณะนี้ แนะนำซื้อหุ้น บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ด้วยราคาเป้าหมาย 10 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ กำไรงวดไตรมาส 2/63 ของ STI เพิ่มขึ้น 52.4% จากไตรมาสก่อน และ 86.1% จากปีก่อน ซึ่งดีเกินคาด หลังควบรวม AEC ตั้งแต่ 1 พ.ค. 63 ทำให้รายได้ค่าบริการเพิ่มขึ้น 72.9% จากไตรมาสก่อน และ 133.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ด้านกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น  52.4% จากไตรมาสก่อน และ 86.1% จากปีก่อน โดยในงวดไตรมาส 2/63 รับรู้รายได้จาก AEC ราว 200 ล้านบาท ขณะ AEC มีกำไร 36.7 ล้านบาท แต่เนื่องจาก STI เข้าซื้อหุ้น Asia Engineering consultant Co.,Ltd. (AEC) เพียง 63.75% จึงรับรู้กำไรจาก AEC เพียง 23.4  ล้านบาท กำไรที่เหลือ 13.3 ล้านบาท เป็นของส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย

ขณะที่ไม่รวม AEC พบว่า STI มีรายได้ราว 200 ล้านบาท แต่มีกำไรราว 18.6 ล้านบาท เพราะมีภาระดอกเบี้ยดอกเบี้ยจ่ายมากขึ้นจากการกู้เงิน 140 ล้านบาท มาซื้อกิจการ AEC และใช้เงินสดของกิจการ 135 ล้านบาท มาลงทุนใน AEC ทำให้รายได้ดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นลดลง โดย AEC ประกอบธุรกิจงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง รวมถึงงานออกแบบสถาปัตยกรรมเช่นเดียวกับ STI แต่เน้นงานโครงการภาครัฐเป็นหลัก

ทั้งนี้ STI มีการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอ และลดการพึ่งพิงงานบริหารและควบคุมงานก่อสร้างโครงการอสังหาฯ (คอนโด) ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาซัพพลายล้นตลาด และสถานการณ์โควิด โดยการรับงานโครงการภาครัฐมากขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนรายได้งานภาคเอกชนลดลงจาก 91% ในงวดครึ่งแรกของปี 62 เหลือ 69% ในช่วงครึ่งแรกของปี 63

และสัดส่วนรายได้โครงการภาครัฐเพิ่มขึ้นจาก 9% ในงวดครึ่งปีแรกของปี 62 เป็น 31% ในช่วงครึ่งแรกของปี 63 ขณะที่หลังควบรวมกับ AEC ซึ่งเน้นงานบริหารควบคุมการก่อสร้างโครงการภาครัฐเป็นหลัก สัดส่วนรายได้โครงรัฐ 1H63 ขยับขึ้นเป็น 53.6% และสัดส่วนรายได้ภาคเอกชนลดลงเหลือ 46.4% ช่วยให้พอร์ตลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงโครงการคอนโดฯมากขึ้น โดย ณ วันที่ 15 ส.ค. 2563  เฉพาะ STI มี Backlog ในมืออยที่ 1.7 พันล้านบาท เป็นงานภาคเอกชน 65.3% และเป็นงานภาครัฐ 34.7%

โดยเป็น Backlog คอนโดฯ ถึง 20.1% แต่เมื่อรวมกับ AEC แล้ว Backlog พุ่งขึ้นเป็น 4.6 พันล้านบาท เป็นงานภาครัฐสูงถึง 75% และภาคเอกชนเพียง 25% โดยเป็นงานโครงการคอนโดเพียง 7.7% ของ Backlog ทั้งหมด

พร้อมกันนี้ ปรับเพิ่มประมาณการปี 63-64 กำไรใหม่ปี 2563 เติบโต 73.5% และเติบโตต่อเนื่องอีก 18.3% ในปี 2564 โดย Backlog ขนาดใหญ่ของ STI คือ One Bangkok เหลืออยู่ราว 500 กว่าล้านบาท จะรับรู้รายได้อีก 3-4 ปี ในส่วนของ AEC Backlog ขนาดใหญ่คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา มูลค่าราว 700 กว่าล้านบาท จะรับรู้รายได้ภายใน 5-6 ปี

นอกจากนี้ยังมี โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง สายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต สายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าทางคู่ นครปฐม-ชุมพร สัญญาที่ 2 ขณะที่ในวันงาน Opportunity Day ผู้บริหารของ STI บอกว่าเพิ่งได้ Backlog เพิ่มอีก 200 ล้านบาท เป็น 4.8 พันล้านบาท และมั่นใจว่าจะเพิ่มเป็น 5 พันล้านบาทในสิ้นปีนี้  เป็นผลให้คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อีก 700-800 ล้านบาท

โดยมองรายได้งวดไตรมาส 3/63 จะอยู่ระดับใกล้เคียงไตรมาส 2 และเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้จากเดิมที่เติบโต 80% เป็น 100% ขณะที่กำไรสุทธิครึ่งแรกของปีนี้คิดเป็น 60% ของประมาณการปีนี้ จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 63-64 เพิ่มขึ้น 29% และ 34% ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิใหม่ปี 63 อยู่ที่ 148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.5% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นอีก 18.3% ในปีถัดไป จากผลบวกของการรับรู้กำไรจาก AEC เต็มปี

ขณะที่ประเมินมูลค่าพื้นฐานด้วยวิธี GGM โดยใช้ตัวแปร Long-term ROE ที่ 20% Long-term Growth (LTG) ที่ 4.5% ภายใต้ Dividend Payout Ratio ที่ 75%  Cost of Equity ที่ 9% ได้ PBV ที่ 3.45 เท่า  ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 10 บาท

Back to top button