
HANN พุ่งแรง 14% แย้มครึ่งปีหลังผู้ป่วยแน่น ดันรายได้ปีนี้ทะลุ 500 ล้าน
HANN พุ่งแรง 14% แย้มผลงานครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก มีผู้ป่วยช่วงฤดูฝนเข้ามาจำนวนมาก ทั้งโรคไข้เลือดออก-ไข้หวัด หนุนรายได้รวมปีนี้โตกว่า 500 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (23 ก.ย.68) ราคาหุ้นบริษัท โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ HANN ณ เวลา 11:37 น. อยู่ที่ระดับ 1.46 บาท บวก 0.18 บาท หรือ 14.06% สูงสุดที่ระดับ 1.53 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.28 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 73.91 ล้าน
โดยก่อนหน้านี้นางประภาศรี สุฉันทบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HANN เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 จะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 236.71 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 20.67 ล้านบาท เนื่องจากเป็นผลจากปัจจัยในเรื่องของฤดูกาล ซึ่งจะมีผู้ป่วยจากช่วงฤดูฝนเข้ามาจำนวนมาก ทั้งโรคไข้เลือดออก และไข้หวัด
ขณะที่บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 2568 ไว้ที่ระดับกว่า 500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 496.37 ล้านบาท โดยบริษัทยอมรับว่าปี 2568 ลูกค้าต่างประเทศยังมีความท้าทายจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีสัญญาณความตึงเครียดตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มผู้เข้ารับบริการจากประเทศกัมพูชาไม่สามารถเดินทางเข้ามารับบริการได้ ส่งผลให้สัดส่วนลูกค้าจากประเทศกัมพูชาหายไป โดยสัดส่วนรายได้จากลูกค้าประเทศกัมพูชาในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาลดลงเหลือ 4% ซึ่งลดลงตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 จากปี 2567 ที่มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้ากัมพูชาอยู่ที่ประมาณ 8%
นอกจากนี้บริษัทได้ดำเนินการหารายได้จากกลุ่มลูกค้าอื่น ๆ เพื่อมาทดแทนทันที ทั้งรายได้จากกลุ่มลูกค้าราชการ ที่สามารถเบิกจ่ายใน “โรคผ่าตัดล่วงหน้า” ที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาลเอกชนมากขึ้น รวมถึงรายได้จากกลุ่มการใช้สิทธิประกันสุขภาพ ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังรุกให้บริการลูกค้าต่างชาติในประเทศอื่นแทน เช่น สปป.ลาว
“หากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลายลงในช่วงไตรมาส 4/2568 อาจเป็นปัจจัยบวก ที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนการรักษาที่โรงพยาบาลของเราได้ หลังถูกปิดกั้นอาจจะทะลักเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของ HANN มาจากลูกค้าในประเทศไทย 77%, สปป.ลาว 17%, กัมพูชา 4% และอื่น ๆ” นางประภาศรี กล่าว
ส่วนกรณีการขายหุ้นไอพีโอของกลุ่มกรรมการบริหารและพนักงานบางส่วนที่มีข่าวออกมานั้น มองว่าเป็นสัดส่วนจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมด 560 ล้านหุ้น โดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่จำนวน 96% ยังติดไซเลนท์ ล็อกอัพ (Lock up) ไม่สามารถขายได้ และประสงค์จะถือครองหุ้นในสัดส่วน 71% ในระยะยาว