
ดีเดย์! บขส. สั่งหยุดเดินรถไทย–กัมพูชา ไม่มีกำหนด จับตาชายแดนตึงเครียด “ปรับกำลังทหาร”
บขส. ประกาศหยุดวิ่งรถระหว่างประเทศ 2 เส้นทางหลัก หลังจุดผ่านแดนไทย–กัมพูชาปิดชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย หวั่นกระทบการค้าชายแดน ขณะที่ “ไทย–กัมพูชา” ปรับกำลังทหาร รอถก JBC 14 มิ.ย.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ประกาศหยุดให้บริการเดินรถโดยสารระหว่างประเทศ 2 เส้นทางหลัก ได้แก่ เส้นทางที่ 12 กรุงเทพฯ-เสียมราฐ และ เส้นทางที่ 13 กรุงเทพฯ-พนมเปญ อย่างไม่มีกำหนด เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากมีคำสั่งห้ามรถโดยสารข้ามจุดผ่านแดนฯ ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาเป็นการชั่วคราว
แหล่งข่าวจาก บขส. ระบุว่า การหยุดเดินรถครั้งนี้เป็นไปตามมาตรการของหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน พร้อมเปิดช่องทางให้ประชาชนสามารถขอคืนเงินค่าตั๋วโดยสารได้เต็มจำนวน ผ่านแอปพลิเคชัน บขส., เว็บไซต์ และจุดให้บริการทุกแห่ง
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้วิเคราะห์ผลกระทบของการปิดด่านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ในปี 2567 มีมูลค่ารวมกว่า 174,530 ล้านบาท โดยเฉพาะด่านสำคัญอย่าง อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีมูลค่าการค้าสูงถึง 110,718 ล้านบาท หากมีการปิดด่านอรัญประเทศเพียงแห่งเดียว อาจกระทบการค้าชายแดนมากกว่า 60% การหยุดเดินรถหรือปิดด่านอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลต่อต้นทุนการขนส่ง รวมถึงความล่าช้าของซัพพลายเชน
กรมการค้าต่างประเทศ ยังระบุเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจุบันจะมีการปรับวันและเวลาเปิด-ปิดด่าน เฉพาะเพื่อควบคุมคนเข้า-ออก โดยไม่กระทบการค้าสินค้าโดยรวม แต่หากมีการปิดด่านอย่างถาวร หรือปิดหลายด่านพร้อมกัน จะส่งผลกระทบทันทีในระดับต่าง ๆ ดังนี้
- ระยะสั้น (0-3 เดือน) ธุรกิจรายย่อยข้ามแดน เช่น ตลาดชายแดนหยุดชะงัก โลจิสติกส์หยุด/เบี่ยงเบนเส้นทาง
- ระยะกลาง (3-12 เดือน) ผู้ส่งออกต้องหาตลาดหรือเส้นทางใหม่ อุตสาหกรรมไทยที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากกัมพูชาเริ่มได้รับผลกระทบ
- ระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพพรมแดนลดลง ความสัมพันธ์ทางการค้าอาจเปลี่ยนไปสู่การขนส่งทางทะเล หรือผ่านประเทศอื่นแทน
ไทม์ไลน์ “ชายแดนเดือด ถึงสองฝ่ายปรับลดกำลังทหาร”
28 พ.ค. ทหารไทย-กัมพูชา ปะทะกันที่ “ช่องบก” จ.อุบลราชธานี ฝ่ายกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย
29 พ.ค. ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ไทย-กัมพูชา หารือร่วม ไทยเสนอถอนทหาร 200 เมตร แต่กัมพูชายันไม่ถอน อ้างสิทธิก่อน MOU ปี 2543
30 พ.ค. กองทัพบกไทย ออกแถลงการณ์ผลการเจรจา ระหว่าง ผบ.ทบ. ทั้งสองประเทศ พร้อมย้ำจุดยืนใช้ “สันติวิธี” ในการแก้ปัญหา ขณะเดียวกัน กลางดึกวันเดียวกัน สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊ก ย้ำ “สามเหลี่ยมมรกต” เป็นของกัมพูชา พร้อมท้าไทยยื่นคดีต่อศาลโลก (ICJ)
2 มิ.ย. พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แถลงต่อสภาฯ เตรียมยื่นคำร้องต่อ ICJ ขอชี้ขาดเขตแดน
4–5 มิ.ย. รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ย้ำ ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก พร้อมเดินหน้าใช้กลไกทวิภาคีผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC)
6 มิ.ย. สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประชุมด่วนเพื่อกำหนดมาตรการรับมือสถานการณ์ชายแดน
7 มิ.ย. รัฐบาลออกแถลงการณ์ 4 ข้อ หนุนกองทัพปกป้องอธิปไตย พร้อมย้ำการใช้ “สันติวิธี” เป็นหลัก
ขณะเดียวกัน ผบ.ทบ. มอบอำนาจให้ “กองกำลังบูรพา–กองกำลังสุรนารี” พิจารณาเปิด–ปิดด่านพรมแดนตามสถานการณ์ เริ่มปฏิบัติการควบคุมพื้นที่ ตั้งจุดตรวจ วางแนวรั้ว และปิดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น “ผามออีแดง” พร้อมเตรียมตัดไฟฟ้าด่าน–บ่อนคาสิโนฝั่งกัมพูชา หากสถานการณ์ไม่คลี่คลาย
8 มิ.ย. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งผลหารือร่วมรัฐบาลกัมพูชา โดยทั้งสองฝ่ายตกลง “ปรับกำลังทหาร” เพื่อลดความตึงเครียด พร้อมยืนยันการประชุม JBC วันที่ 14 มิ.ย.
9 มิ.ย. บขส. หยุดเดินรถไทย–กัมพูชาไม่มีกำหนด ขณะที่สื่อกัมพูชา Khmer Times รายงานว่า พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุการเคลื่อนไหวล่าสุดของทหารกัมพูชา “เป็นเพียงการปรับกำลัง” แต่ยังคงตรึงกำลังในพื้นที่ที่กัมพูชาอ้างอธิปไตย
ขอบคุณภาพปกจาก บขส.