“สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์” จับมือ กองทุนสื่อฯ ลุยอบรม Fact Checking สกัดข่าวปลอม

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ จับมือ กองทุนสื่อฯ ลุยจัดอบรม Fact Checking & Verification ยกระดับวิชาชีพสื่อมวลชน สกัดกั้น “ข่าวปลอม” ในสังคมไทย


เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ร่วมกับ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ภายใต้โครงการความร่วมมือองค์กรสื่อขับเคลื่อนพัฒนาวิชาชีพและส่งเสริมจริยธรรมสื่อเพื่อสร้างระบบนิเวศสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้จัดโครงการฝึกอบรม One Day Training แลกเปลี่ยน – เรียนรู้กับกูรูออนไลน์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ ณ โรงแรม ดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ในหัวข้อสำคัญคือ Fact Checking & Verification เรียนรู้กระบวนการตรวจสอบข่าวปลอม ภายใต้กรอบจริยธรรมสื่อมวลชน เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะเชิงปฏิบัติในการรับมือกับความท้าทายของสถานการณ์ข่าวสารในปัจจุบัน

โดยครั้งนี้จัดให้มีเวทีเสวนาในหัวข้อ “ความท้าทายของสื่อมวลชนไทย ท่ามกลางสถานการณ์ข่าวลวง” โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิร่วมแลกเปลี่ยนและให้ความรู้ ประกอบด้วย ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บมจ.อสมท และ คุณนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ โดยมี คุณจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง อุปนายกด้านมาตรฐานวิชาชีพ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ดำเนินรายการ

ในโอกาสนี้ ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับพัฒนาการของข่าวปลอมว่า พัฒนาการข่าวปลอมในปัจจุบันมีการนำ AI มาใช้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินและวิกฤตจะมีข่าวเหล่านี้ออกมาเสมอ แต่การตรวจสอบข้อเท็จจริง เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน้าที่ของสื่อมวลชนในการตรวจสอบและเผยแพร่ข่าวจริง ซึ่งความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ควรมีในสังคมประชาธิปไตย เพราะประชาชนมีสิทธิที่จะเข้าถึงข่าวจริงซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สังคมพึงได้รับ ขณะเดียวกันหากเราอยู่กับข่าวปลอมหรือเฟกนิวส์เพียงอย่างเดียว สังคมจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

“การตรวจสอบและเผยแพร่ข่าวจริง เป็นสิ่งที่กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์พยายามส่งเสริม หากสื่อไทยสามารถทำได้ ก็จะช่วยลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและทำให้สังคมไทยได้รับข่าวสารที่ถูกต้องได้ ทางกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พร้อมที่จะสนับสนุนสื่อมวลชนในการทำงานเรื่องนี้” ดร.ชำนาญ กล่าว

ด้าน นายนันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ได้เน้นย้ำถึงแกนหลักของวิชาชีพว่า เราต้องตั้งคำถามก่อนว่า เฟคนิวส์คืออะไร จุดประสงค์มาจากอะไร ทั้งจากการเมืองและการสร้างกระแส ซึ่งหน้าที่ของสื่อมวลชนคือการนำเสนอข่าว ซึ่งในปัจจุบัน ใคร ๆ ก็ใช้เทคโนโลยีเข้ามาพูดหรือโพสต์ได้ แต่แกนหลักของหน้าที่สื่อมวลชนต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้นคือต้องตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งเทคโนโลยีไม่ใช่อุปสรรค แต่คือสิ่งที่ช่วยทำให้กระบวนการตรวจสอบได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

เราจะเห็นการแพร่ระบาดของข่าวปลอมอย่างชัดเจนในช่วงที่มีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา องค์กรสื่อต้องตั้งหลักให้ดีและตั้งทีมตรวจสอบความจริงก่อนนำเสนอข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชน ขณะเดียวกันต้องวางกลยุทธ์การทำงานให้เหมาะสม เพราะการตรวจสอบข่าวปลอมต้องใช้เวลา ซึ่งสวนทางกับแนวทางการทำงานของสื่อในปัจจุบันที่เน้นเรื่องความเร็วเป็นสำคัญ” คุณนันทสิทธิ์ กล่าว

ขณะที่ คุณพีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ บมจ.อสมท กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีการสร้างข้อมูลปลอมตั้งแต่ต้นตอ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเว็บไซต์ งานวิจัย เอกสารทางวิชาการ ไปจนถึงแหล่งข่าวต้นตอ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ทำให้การตรวจสอบยากยิ่งขึ้น มีการสร้างวาทกรรม สร้างเอกสาร สร้างอินโฟกราฟิก สร้างเสิร์จเอนจิ้นปลอมเพื่อหลอกการค้นหา ซึ่งเป็นเทคนิคทำให้สื่อโดนหลอกมากที่สุด เป็นสิ่งที่ยากที่สื่อในปัจจุบันจะตรวจสอบได้

“หากเรามีฐานข้อมูลกลางในการทำงาน ส่วนสื่อทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมอธิบายให้เห็นถึงแหล่งที่มาของข้อมูลและเครื่องมือในการตรวจสอบ จะช่วยสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน และเมื่อมีการตรวจสอบมากขึ้น จะสามารถนำไปสู่การสร้างพฤติกรรมการตรวจสอบข่าวปลอมเพื่อค้นหาความจริงได้” คุณพีรพล กล่าว

One Day Training ประจำปี 2568 ครั้งที่ 2 ยังมีการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเรียนรู้กระบวนการตรวจสอบข่าวปลอม ตั้งแต่การตรวจสอบต้นทางไปจนถึงการเรียบเรียงเนื้อหาเพื่อนำเสนอข่าวเตือนภัยให้กับสาธารณชน โดยแบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ การฝึกอบรม เครื่องมือตรวจสอบข่าวลวง และการฝึกอบรม Fact & Policy Checking เรียนรู้กระบวนการตรวจสอบข่าวปลอม ตั้งแต่ต้นทาง

ในส่วนของการฝึกอบรม เครื่องมือตรวจสอบข่าวลวงนั้น คุณณัฐกร ปลอดดี Southeast Asia Digital Verification Editor : AFP ได้ให้ความรู้ถึงการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ทักษะการตรวจสอบ

“เมื่อเรามีทักษะในการตรวจสอบข่าวลวงแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการใช้เครื่องมือในการตรวจสอบข่าวลวง ไม่ว่าจะเป็น Reverse Image Search ซึ่งเป็นการค้นหาภาพย้อนหลัง เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มา การใช้ Geolocation เพื่อค้นหาว่าภาพดังกล่าวถ่ายที่สถานที่ไหน ถ่ายเมื่อไหร่ หรือ การใช้ Google Map เพื่อเปรียบเทียบภาพจากสถานที่ต่าง ๆ ล้วนแต่เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง” คุณณัฐกร กล่าว

คุณณัฐกร กล่าวด้วยว่า ปัจจุบัน AI มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แม้จะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต แต่ข้อเท็จจริงยังพบว่ามีบางส่วนยังมีปัญหาเรื่องความถูกต้อง รวมถึงถูกนำไปดัดแปลงเพื่อสร้างโฆษณาชวนเชื่อหรือข่าวปลอมด้วย อย่างไรก็ตามผู้ผลิตหลายรายก็ยังพัฒนาเครื่องมือในการช่วยตรวจสอบข้อมูลเท็จต่างๆ เหล่านี้ไปพร้อมกันด้วยเช่นกัน

ด้าน คุณกนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการสำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส เปิดเผยถึงแนวคิดของการตั้งทีม Thai PBS Verity เพื่อตรวจสอบข่าวปลมด้วยว่า นับตั้งแต่เหตุการณ์โควิด-19 มีการเผยแพร่ข่าวปลอมมากขึ้นจนนำมาสู่กระบวนการ Fact checking ซึ่งช่องทางทางโซเชียลมีเดียนั้นเป็นช่องทางที่ถูกเผยแพร่ข่าวปลอมมากที่สุด

คุณกนกพร กล่าวด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เรารับมือข่าวปลอมได้คือการทำความเข้าใจประเภทของข้อมูล ประกอบด้วย 1. Misinformation ข้อมูลผิด ข้อมูลปลอม แต่ไม่ได้มีเจตนามุ่งร้าย 2. Malinformation การนำข้อมูลส่วนจริงมาใช้ในการสื่อสารแต่แฝงด้วยเจตนามุ่งร้าย และ 3. Disinformation ข้อมูลบิดเบือน ซึ่งการตรวจสอบข้อมูลทั้ง 3 ประเภท ต้องมีการสืบสวน หาต้นตอ ค้นหาข้อมูลที่ถูกต้อง และแก้ไขข้อมูลปลอมเหล่านั้นด้วยการเผยแพร่ข่าวจริง

คุณกนกพร ยังได้ระบุถึงปัจจัยที่ทำให้ข้อมูลข่าวปลอมเพิ่มสูงขึ้น มาจากการเติบโตของโซเชียลมีเดีย การปรับอัลกอริทึ่ม, AI ที่สามารถเปลี่ยนแปลงเนื้อหาได้, การขาดความรู้เท่าทันสื่อ แยกแยะความจริงไม่ได้, การสร้างรายได้จากข่าวลวง, ช่องโหว่ของแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ยังไม่มีกลไกตรวจสอบที่เพียงพอ รวมไปถึงจิตวิทยาและพฤติกรรมของคนช่วงสภาวะวิกฤตในสถานการณ์อ่อนไหว เช่น แผ่นดินไหว ตึกถล่ม การแชร์เพราะกลัวตกข่าว สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้มีข่าวปลอมเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ สื่อมวลชนควรตระหนักว่า การทำหน้าที่สื่อในปัจจุบัน ต้องไม่คำนึงถึงความเร็วเพียงอย่างเดียว เพราะการนำเสนอข้อมูลด้วยความเร็ว อาจไมได้มีความหมายเท่ากับการนำเสนอความจริง

Back to top button