“ทรัมป์” ลดภาษีฟิลิปปินส์ เหลือ 19% หลังบรรลุข้อตกลงการค้า–ร่วมมือความมั่นคง

“ทรัมป์” เผยผลหารือผู้นำฟิลิปปินส์หลังเยือนทำเนียบขาว ประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าฟิลิปปินส์จากระดับ 20% ซึ่งเคยใช้เป็นแรงกดดันเบื้องต้น เหลือ 19% แลกเปิดตลาดสหรัฐฯ แบบ Zero Tariffs พร้อมจับมือด้านความมั่นคง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 ก.ค.68) เวลา 00:30 น. ตามเวลาประเทศไทย นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social เปิดเผยว่า สหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าฉบับใหม่ ภายหลังการเยือนของนายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ณ ทำเนียบขาว

ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ฟิลิปปินส์จะเปิดตลาดแบบเสรี (Open Market) สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ และยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ (Zero Tariffs) ขณะที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากฟิลิปปินส์ในอัตรา 19% จากระดับ 20% ที่เคยถูกเสนอเป็นแรงกดดันก่อนการเจรจา

ทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะกระชับความร่วมมือทางทหาร โดยผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับประธานาธิบดีมาร์กอส ซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับความเคารพอย่างสูงในประเทศของเขา และเป็นนักเจรจาที่แข็งแกร่งและมีทักษะ”

ในช่วงท้ายของข้อความ ทรัมป์ยังส่งความปรารถนาดีถึงประชาชนชาวฟิลิปปินส์ และเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ในมิติเศรษฐกิจและความมั่นคง

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์จากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ (CSIS) ประเมินว่า นโยบาย “Reciprocal Tariffs” ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดันเบื้องต้น ก่อนเปิดการเจรจาแบบทวิภาคีกับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังไม่มีความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหรัฐฯ เช่น ฟิลิปปินส์และไทย

ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่ฟิลิปปินส์สามารถบรรลุข้อตกลงในกรอบ “Zero Tariffs–19%” ได้อย่างรวดเร็ว อาจกลายเป็นต้นแบบการเจรจาเฉพาะรายที่รัฐบาลทรัมป์นำไปใช้กับประเทศอื่นในอาเซียน รวมถึงไทย ซึ่งอาจเผชิญแรงกดดันให้กำหนดจุดยืนทางการค้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ท่ามกลางบริบทการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความเข้มข้น

Back to top button