SET แกว่งแคบ-ยังกังวลต่อศก.จีนคัด 16 หุ้นรับผลดีนโยบายครม.ชุดใหม่

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้แกว่งกรอบแคบ ประเมินนโยบายผ่อนคลายการเงินจีนจะหนุนตลาดหุ้นเอเชียสั้นๆ แต่ยังมีแรงกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจจีนทั้งหมด อย่างไรก็ดี ปัจจัยในประเทศยังแนะจับตานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้านี้ ณ เวลา 9.07 น. ค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 35.61 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนขานรับข่าวธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี ลง 0.25% มาอยู่ที่ 4.6% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. และได้ปรับลดอัตราการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลง 0.50% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้แกว่งกรอบแคบ ประเมินนโยบายผ่อนคลายการเงินจีนจะหนุนตลาดหุ้นเอเชียสั้นๆ แต่ยังมีแรงกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจจีนทั้งหมด อย่างไรก็ดี ปัจจัยในประเทศยังแนะจับตานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

 สำหรับหุ้นเด่นวันนี้เน้นหุ้นที่คาดจะได้รับผลดีจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐได้แก่  KTB, TPIPL, INTUCH, PTTGC, CK, STEC, SEAFCO, GLOBAL, HMPRO, BTS, TFUND, CPALL, SCN, GUNKUL, EA, BDMS

 

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์(26 ส.ค.) การใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายของจีนในระยะสั้น ๆ น่าจะหนุนตลาดหุ้นเอเซียในเช้าวันนี้ต่อ แม้ว่ามีการฟื้นตัวในช่วงบ่ายวานนี้ไปแล้วก็ตาม ทั้งนี้คาดว่า SET น่าจะขึ้นไปทดสอบ 1,330 จุดอีกรอบโดยยังเน้นหุ้นที่กระทบจากเศรษฐกิจชะลอน้อยอย่าง BTS(FV@B12) และ Property Fund ที่จ่ายปันผลสูงและมีรายได้มั่นคงอย่าง TFUND([email protected]) เป็น Top Pick

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (26 ส.ค.) PBoC ลดดอกเบี้ยลง 0.25% เป็น 4.6% และลดสำรองธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.50% เป็น 18% สำหรับธนาคารขนาดใหญ่ แม้เป็นปัจจัยหนุนการ Rebound ระยะสั้น แต่ภาพความกังวลต่อเศรษฐกิจจีน ยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นโลก และ SET “ผันผวน” ต่อประเมินกรอบ 1,312-1,340 จุด

การ Rebound เป็นเพียงจังหวะ “เก็งกำไร” ด้วยวงเงินจำกัด การ Rebound ของ SET เป็นเพียงจังหวะ “เก็งกำไร” เท่านั้น ขณะที่พอร์ตหลักยังควรจำกัดวงเงินต่อ แนะนำกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

          1. รับเหมาฯ: CK STEC SEAFCO

          2. ค้าปลีก: GLOBAL HMPRO

          3. PTTGC: ราคาน้ำมันฟื้นตัว และปัจจุบันซื้อขายที่ PBV 1x, PE 8x และ Yield 5.9% พร้อมโครงการซื้อหุ้นคืน 4.5 พันล้านบาท

 

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (26 ส.ค.) ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ขึ้นต่อ แต่กรอบการขึ้นอาจแคบลง

คาดดัชนีวันนี้ขึ้นต่อกรอบแคบลง มองแรงซื้อกลับจากฝั่งกองทุนยังมีต่อ หลัง Valuation ของ SET น่าสนใจขึ้นมากหลังร่วงแรงเมื่อวันก่อน ผนวกปัจจัยบวกจากจีนหลังมีต่อ ธ.กลางจีนลดดอกเบี้ยเงินกู้อีก 0.25% สู่ 4.60% และลดสำรองธนาคารอีก 0.50% สู้ 18.0% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ดีด้วยความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินสหรัฐ และความกังวลต่อการชะลอตัวของเอเชียที่ยังอยู่ในตลาด ยังส่งผลให้ต่างชาติน่าจะขายสุทธิต่อ ผนวกอาจมีแรงกดดันบ้างจากหุ้นสหรัฐที่ร่วงท้ายตลาดเมื่อคืน

หุ้นเด่นวันนี้  ซื้อสะสม INTUCH เป้า 94.8 บาท

 

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์(26 ส.ค.) ยังคง “เป็นกลาง” ต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 หลัง SET INDEX วานนี้ปรับฐานลงไปทดสอบแนว 1,290-1,295 จุด ก่อนเกิด Technical Rebound อีกทั้งการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนในค่ำวานนี้ เชื่อว่าจะช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ที่วานนี้ยังคงปรับฐานลงแรงต่อเนื่องอีกกว่า 7%

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เริ่มฟื้นตัว WTI วานนี้ปิดที่ US$39.31 เพิ่มขึ้น US$1.07 ย่อมทำให้กลุ่มน้ำมัน / โรงกลั่น/ ปิโตรเคมี ที่เผชิญกับแรงกดดันของราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับต่ำ คลายตัวลงและให้น้ำหนักต่อการเกิด Technical Rebound โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PTTEP ที่ฟื้นตัวช้ากว่าหุ้นอื่นๆ ในกลุ่ม PTT

ขณะที่กลุ่ม Domestic Play อย่างกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง / กลุ่มวัสดุก่อสร้าง / กลุ่มธนาคาร / กลุ่ม ICT ที่เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่วานนี้ เชื่อว่าจะไต่ระดับขึ้นได้ต่อเนื่องในช่วงสั้น จากมาตรการเรียกความเชื่อมั่นทั้งระยะสั้น – กลาง – ยาว จากทีมเศรษฐกิจ นำโดย ดร.สมคิด ที่เริ่มให้แนวทางการทำงานของ 7 กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เราเชื่อว่า ต่อจากนี้ไปจะเห็นกรอบเวลาและการทำงานในเชิงรุกมากยิ่งขึ้น หากเป็นไปตามที่เราคาด ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะเห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะเป็นบวกต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน ระยะสั้น จับตามาตรการช่วยเหลือกำลังซื้อของผู้มีรายได้น้อย หรือ กลุ่มรากหญ้า เป็นนโยบายเร่งด่วน

สำหรับปัจจัยต่างประเทศ ให้น้ำหนักกับการประชุม Jackson Hole คืนวันศุกร์ที่ 28 ส.ค.นี้ ประธานเฟด จะเข้าร่วมงานดังกล่าวพร้อมให้ความเห็นต่อทิศทางนโยบายการเงินของเฟดจากนี้ไป ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญจาก ณ ปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจจีน และสหรัฐฯ ที่ส่อเค้าเติบโตต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เฟดจะให้น้ำหนักในส่วนนี้ เพื่อส่งสัญญาณชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกในส่วนของเงินทุนเคลื่อนย้าย และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ “นักลงทุนเลือกเก็งกำไรในหุ้น / กลุ่ม Domestic Play เป็นสำคัญ” จากการคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทีมเศรษฐกิจชุดใหม่คาดว่าจะออกมาเป็นรูปธรรมเร็วๆ นี้

Accumulative Buy: KTB / TPIPL

 

บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (26 ส.ค.) กลยุทธ์การลงทุน วานนี้ VIX Index ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นไประดับ 40.74 ซึ่งสะท้อนภาวะเสี่ยงและความกลัวของนักลงทุน ซึ่งทุก ๆ ครั้งที่ VIX Index ปรับตัวสูงขึ้นผิดปกติจะเป็นดัชนีบ่งชี้ถึงภาวะใกล้จุดต่ำสุดของตลาดหุ้น ซึ่งจุดกลับตัวของรอบนี้น่าจะมาสาเหตุการหยุดตกของดัชนีหุ้นจีน และราคาน้ำมัน  ฝ่ายวิจัยประเมินความเสี่ยง ณ ปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยเริ่มคุ้มค่าที่จะเสี่ยงเข้าทยอยซื้อสะสมหุ้นปัจจัยพื้นฐานในระยะกลาง โดยประเมิน Worst Case ของ SET INDEX ที่ระดับ 1,235 – 1,270 ( Forward P/E 13 – 13.4 X ) ดังนั้นจึงแนะนำทยอยซื้อสะสม

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (26 ส.ค.) แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้มีมุมมองเป็นกลางต่อตลาดวันนี้ SET น่าจะ Sideway ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค เชื่อว่าหลังจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยและ RRR แล้วจะช่วยบรรเทาความผันผวนของตลาดหุ้นโลกได้ในระดับหนึ่งหากไม่มีปัจจัยลบใหม่เพิ่มเติม อย่างไรก็ตามยังต้องจับตาความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นจีนที่จะมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นโดยตรง และการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงตัวเลขส่งออกไทยที่จะประกาศในวันพรุ่งนี้ (ตลาดคาดว่าจะติดลบ -4.5% Y-Y ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7)

Trading วันนี้: CPALL (แผนกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า) และ SCN (กำลังประกาศซื้อปั้ม NGV อีก 2 แห่ง)

กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มดี:  พลังงานทดแทน(GUNKUL EA) กลุ่ม Healt care (BDMS) และสื่อสาร

 

 

Back to top button