“งบประมาณปี 69” วงเงิน 3.78 ล้านลบ. กลไกอัดฉีดเศรษฐกิจไทย ฝ่าคลื่นวิกฤตโลก

สภาฯ ลงมติร่างงบประมาณปี 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ผ่านวาระแรก และตั้ง กมธ. พิจารณารายละเอียด ขณะรัฐบาลมั่นใจใช้จ่ายนำฟื้นตัว ฝ่ายค้านชี้ต้องเร่งจัดการปัญหาเชิงโครงสร้างและใช้นโยบายที่เฉียบคมยิ่งขึ้น


สภาผู้แทนราษฎรใช้เวลากว่า 41 ชั่วโมงในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในวาระแรก ก่อนนัดลงมติในเย็นวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2568

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อเวลา 16:05 น. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 ในวาระแรก ด้วยคะแนนเสียง 322 ต่อ 158 งดออกเสียงไม่มี และไม่ลงคะแนน 2 เสียง จากจำนวนผู้ลงมติทั้งหมด 482 คน พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 73 คน เพื่อพิจารณารายละเอียดก่อนกลับเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่สองและสาม

ภาพประกอบ: ห้องประชุมรัฐสภา ขณะนายกรัฐมนตรีอภิปรายร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2569

รัฐบาล นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เสนอร่างงบประมาณวงเงินรวม 3,780,600 ล้านบาท โดยยึดแนวทางใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุล เพื่อ “ใช้จ่ายนำการฟื้นตัว” ท่ามกลางข้อจำกัดด้านรายได้และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

ในถ้อยแถลงต่อสภาฯ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรี ระบุว่า งบประมาณปี 69 มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกมิติ โดยจะเน้นการลงทุนของภาครัฐ พัฒนาศักยภาพแรงงาน และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ข้อมูลจาก สำนักงบประมาณ ระบุว่า ปีงบประมาณ 2569 มีวงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 ซึ่งอยู่ที่ 3.75 ล้านล้านบาท หรือราว 27,900 ล้านบาท

รัฐบาลเชื่อว่าเม็ดเงินจากภาครัฐจะเป็นกลไกหลักในการกระตุ้นการลงทุน และพยุงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น ขณะเดียวกันเร่งวางรากฐานเชิงโครงสร้างเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว

จากการพิจารณาโครงสร้างการจัดสรรงบประมาณ พบว่า หลายหน่วยงานสำคัญได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น เช่น

  • กระทรวงการคลัง ได้รับ 397,856.7 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 8,197 ล้านบาท)
  • กระทรวงศึกษาธิการ ได้รับ 355,108.5 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14,333.9 ล้านบาท)
  • กระทรวงมหาดไทย ได้รับ 301,265 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6,852.3 ล้านบาท)

งบที่เพิ่มขึ้นสะท้อนนโยบายเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และการพัฒนาทุนมนุษย์

ขณะที่ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล ยังไม่มีการจัดสรรงบประมาณโดยตรงในปี 2569 โดยงบเดิมในปี 2568 จำนวน 157,000 ล้านบาท ถูกโยกไปสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานแทน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า แม้การขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องอยู่ที่รวม 850,000 ล้านบาทในช่วง 2 ปี หรือประมาณ 4% ของ GDP ซึ่งสูงกว่ากรอบปกติที่ควรไม่เกิน 3.25% แต่เมื่อพิจารณาการชำระคืนเงินต้น 150,000 ล้านบาท จะเหลือการขาดดุลสุทธิราว 700,000 ล้านบาท หรือราว 3% กว่า ซึ่งยังถือว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้สำหรับประเทศกำลังพัฒนา โดยย้ำว่า ไทยยังต้องใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลต่อไปอีกระยะ เพื่อปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศ

ด้าน ฝ่ายค้าน โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้อภิปรายเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมว่า สังคมไทยยังมีความหวัง และประชาชนสมควรได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ โดยแสดงความกังวลต่อการจัดสรรงบประมาณในภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ว่าประเทศจะสามารถฝ่าวิกฤตไปได้หรือไม่ ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้าที่กระทบภาคส่งออก ปัญหาการสวมสิทธิ์ทางการค้า และการทะลักเข้ามาของสินค้าเถื่อนราคาถูกจากต่างประเทศ ทั้งนี้ ตัวเลข GDP ด้านการผลิตและการบริโภคที่สวนทางกัน สะท้อนให้เห็นชัดว่า มาตรการแจกเงินเพียงอย่างเดียวไม่อาจตอบโจทย์ได้อีกต่อไป

ภาพประกอบ: ห้องประชุมรัฐสภา ขณะผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2569

หลังผ่านวาระแรกแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) 73 คน เพื่อพิจารณารายละเอียด ก่อนกลับเข้าสภาในวาระ 2-3

ปัจจัยสำคัญ ที่จะกำหนดทิศทางของงบฯ ปี 69 ไม่ได้อยู่ที่ “ตัวเลขรวม” แต่คือ “ความสามารถในการเบิกจ่าย” และ “ความเร็วในการดำเนินนโยบาย”

ขณะที่โลกกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากสงครามการค้าและนโยบายกีดกันจากรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ในสหรัฐฯ ไทยจำเป็นต้อง “ช่วยตัวเองให้มากที่สุด” ผ่านการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในภาวะพึ่งพาภายนอกเพียงอย่างเดียว

งบประมาณปี 69 จึงไม่ใช่เพียงชุดตัวเลขเชิงเทคนิคของระบบราชการ แต่คือบทพิสูจน์ว่า รัฐบาลสามารถใช้กลไกการคลังเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือไม่

ท้ายที่สุด… ความหวังของประชาชนจะไม่เกิดขึ้นจากแค่ “ตัวเลขบนกระดาษ” แต่จาก “งบประมาณที่ไหลเวียนถึงมือ” และสะท้อนเป็นคุณภาพชีวิตจริง

Back to top button