“บีโอไอ” ผนึก “ตลท.” ลุยแผนใหญ่ ดึงบริษัทเทคขั้นสูงเข้าตลาดทุน ปั้นเศรษฐกิจใหม่

คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผนึกกำลัง ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดึงบริษัทยักษ์ใหญ่จดทะเบียน เสริมสิทธิประโยชน์และมาตรการภาษี หนุนเทคโนโลยีขั้นสูง ใช้ตลาดทุนปั้นเศรษฐกิจไทยใหม่


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้หารือร่วมกับ นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ และคณะผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานในการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีขีดความสามารถในการแข่งขัน และเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการใช้เครื่องมือของทั้งบีโอไอและตลาดหลักทรัพย์

ในการผลักดัน 2 เรื่องสำคัญ คือ 1. การดึงบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศที่เข้ามาตั้งฐานธุรกิจในประเทศไทยและได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และ 2. การสนับสนุนให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว มีการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่า ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการให้สิทธิประโยชน์จากทั้งสองหน่วยงาน

สำหรับการสนับสนุนให้บริษัทชั้นนำเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งสองหน่วยงานเห็นตรงกันที่จะเริ่มนำร่องในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง 3 สาขาหลัก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ, ยานยนต์ไฟฟ้า และดิจิทัล ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และมีตัวอย่างความสำเร็จของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่ในปัจจุบัน อาทิ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA และ บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CCET

พร้อมกันนี้ ยังจะร่วมมือกันสนับสนุนให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว มีการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่า ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนในการจัดทำแผนการเติบโต การสื่อสารกับผู้ลงทุน และการเพิ่ม Corporate Visibility ผ่านโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน (โครงการ JUMP+) และบีโอไอจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างความยั่งยืน ผ่านมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) โดยทั้งสองหน่วยงานจะเพิ่มช่องทางบริการพิเศษ (Fast-Track) สำหรับบริษัทที่ประสงค์จะเข้าร่วมทั้งสองมาตรการของตลาดหลักทรัพย์และบีโอไออีกด้วย

นายนฤตม์ กล่าวว่า ในสถานการณ์โลกปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูง บีโอไอและตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นถึงความสำคัญของการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการและเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเดิมมีการปรับตัว ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และมุ่งสู่ความยั่งยืน ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงให้สามารถสร้างฐานที่มั่นคงในประเทศไทย เพื่อให้เป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดยต้องการเชิญชวนให้บริษัทชั้นนำเหล่านี้ มาดำเนินธุรกิจในไทยแบบครบวงจร ทั้งฐานการผลิต การวิจัยและพัฒนา สำนักงานภูมิภาค รวมทั้งการขยายธุรกิจผ่านตลาดทุน โดยอาศัยเครื่องมือสนับสนุนและการทำงานอย่างใกล้ชิดของทั้งบีโอไอและตลาดหลักทรัพย์ ในการผลักดันให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

ขณะที่ นายอัสสเดช กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างบีโอไอและตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสนับสนุนให้ธุรกิจใหม่ ๆ เข้าถึงแหล่งเงินทุนและสามารถขยายการเติบโตผ่านตลาดทุนได้แล้ว ยังเป็นโอกาสในการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุนในธุรกิจและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพอีกด้วย นอกจากนั้น การที่บีโอไอจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างความยั่งยืน ภายใต้มาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ซึ่งรวมถึงบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการ “JUMP+” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย จะช่วยให้เกิดความสนใจและสร้างความตื่นตัวให้บริษัทจดทะเบียน พัฒนาการดำเนินงานและขับเคลื่อนความยั่งยืน ทั้งด้านธุรกิจ ด้านธรรมาภิบาล และการจัดการก๊าซเรือนกระจก เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องการยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน

Back to top button