ธปท. แจง “เงินปริศนา” ปรับ NEO ปี 67 เหลือ 7.3 พันล้านดอลลาร์ ไม่กดดันค่าเงินบาท

ธปท. ปรับข้อมูล BOP ปี 2567 ทำให้ “เงินปริศนา” หรือ NEO ลดครึ่ง เหลือ 7.3 พันล้านดอลลาร์ (2.3 แสนล้านบาท) จากการปรับข้อมูลน้ำมันนำเข้า–FDI–สินเชื่อการค้า ย้ำเป็นการบันทึกย้อนหลัง ไม่ใช่เงินใหม่กดดันค่าเงินบาท เหตุบาทแข็งจริงมาจากทองคำและดอลลาร์อ่อน พร้อมเตรียมหารือผู้ค้าทองคำรอบ 2


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 ก.ย. 2568) นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการปรับปรุงข้อมูลบัญชีดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BOP) ประจำปี 2567 รอบเดือนกันยายนว่า ตัวเลขความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ (Net Errors and Omissions: NEO) ปรับลดลงมาอยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2.3 แสนล้านบาท) ลดลงกว่าครึ่งจากตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ปัจจัยหลักที่ทำให้ NEO ลดลง เกิดจากการปรับข้อมูลทางสถิติ 3 ด้าน ได้แก่

  1. การนำเข้าน้ำมันกรมศุลกากรปรับราคาน้ำมันนำเข้าตามข้อมูลจริงจากผู้นำเข้า ซึ่งต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัด (current account) ปรับตัวดีขึ้น และทำให้ NEO ลดลงราว 2.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  1. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)มีการปรับข้อมูลตามงบการเงินที่ธุรกิจทยอยรายงาน ทำให้ตัวเลขการลงทุนสูงขึ้น กดดันให้ NEO ลดลงอีกราว 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  1. สินเชื่อการค้า (Trade Credit)เจ้าหนี้ต่างประเทศขยายระยะเวลาการชำระค่าสินค้าแก่ผู้ประกอบการไทย ทำให้ภาระการจ่ายคืนในปี 2567 ลดลง ส่งผลให้ NEO ลดลงราว 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

นางสาวชญาวดี กล่าวย้ำว่า ตัวเลขที่ปรับนี้เป็น การบันทึกย้อนหลัง ของปี 2567 ไม่ใช่ เงินใหม่ ที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินบาทในปัจจุบัน เพราะผลกระทบด้านอุปสงค์–อุปทาน ได้ส่งผ่านไปแล้วในช่วงเวลาที่ธุรกรรมเกิดขึ้น

สำหรับสาเหตุที่ ค่าเงินบาทแข็งค่า ต่อเนื่อง โฆษก ธปท. ระบุว่า มาจากปัจจัยผสม ทั้ง การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ที่นักลงทุนคาดการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายของเฟด และ ราคาทองคำที่พุ่งแรง โดยมีแรงซื้อขายทองคำออนไลน์ด้วยเงินบาท และการนำทองคำไปขายต่อที่ต่างประเทศแล้วแลกกลับเป็นเงินบาท ซึ่งทำให้มีแรงซื้อบาทเข้าสู่ระบบ

ขณะเดียวกัน ธปท. ยอมรับว่าธุรกรรม “สีเทา และสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ คริปโต (Cryptocurrency)เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การเก็บข้อมูลสถิติยากขึ้น อาจมีเงินสีเทาปะปนจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกความคลาดเคลื่อนมาจากธุรกิจผิดกฎหมาย ธปท.อยู่ระหว่างการประสานข้อมูลเชิงลึกผ่านแนวทาง connect the dots” ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (...), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสมาคมธนาคารไทย เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและปิดช่องโหว่

ในประเด็นมาตรการทองคำ ธปท.เตรียมเชิญผู้ค้าทองคำเข้าหารือรอบที่ 2 ภายใน 2 สัปดาห์ โดยอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางให้การซื้อขายทองคำออนไลน์บางรูปแบบทำในสกุลเงินดอลลาร์แทนเงินบาท รวมถึงการใช้มาตรการภาษีหรือกฎเกณฑ์การรายงาน เพื่อประเมินผลกระทบและออกมาตรการที่เหมาะสม

นางสาวภาวิณี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวเสริมว่า การแข็งค่าของเงินบาทยังได้รับแรงหนุนจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ดุลบัญชีเดินสะพัด ที่ปรับตัวดีขึ้น การเมืองไทยที่มีเสถียรภาพเร็ว และราคาทองคำโลกที่เพิ่มขึ้นกว่า 40% ส่งผลให้ร้านทองขายทองออกและแลกกลับมาเป็นเงินบาทมากขึ้น ธปท.จึงติดตามสถานการณ์นำเข้า–ส่งออกทองคำอย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำให้ผู้ให้บริการ คริปโต รายงานธุรกรรมต่อ ก.ล.ต. เพื่อช่วยลดความคลาดเคลื่อนในสถิติ

ทั้งนี้ ตัวเลข NEO ใน บัญชีดุลการชำระเงิน มักถูกใช้เป็นตัวชี้วัดว่า ข้อมูลการไหลเข้า–ออกของเงินทุนมีความครบถ้วนเพียงใด โดยที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หลังจากช่วง 2–3 ปีหลัง NEO ของไทยสูงถึงไตรมาสละ 3,000–4,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1 แสนล้านบาท ซึ่งนักวิเคราะห์บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่าอาจสะท้อนถึง เงินทุนสีเทา หรือ คริปโต ที่ตรวจสอบยาก ล่าสุด ธปท. ชี้แจงว่า ตัวเลขที่ปรับปรุงแล้วเป็นเพียง การแก้ไขข้อมูลทางสถิติ ไม่ได้หมายถึงการหายไปของเม็ดเงินจริงในระบบเศรษฐกิจ

ข้อมูลอ้างอิง ธปท. 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

“เอกนิติ” สั่งคลังตั้งทีมไล่ล่า “เงินปริศนา” ล้นแสนล้าน หวั่นโยงธุรกิจสีเทา-บาทแข็ง

Back to top button