
“อนุสรณ์” ชี้ไทยต้องผ่าตัดโครงสร้างเศรษฐกิจ หนีรั้งท้ายอาเซียน “Quick Big Win” แค่บรรเทา
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ชี้เศรษฐกิจไทยเปราะบาง เงินเฟ้อใกล้ศูนย์ สะท้อนดีมานด์อ่อนแรง ทั้งภาคส่งออกและบริโภคซบเซา มาตรการ “Quick Big Win” ช่วยได้เพียงบรรเทา แนะรัฐบาลเร่งผ่าตัดโครงสร้างเศรษฐกิจและเพิ่มการลงทุนใหม่ ป้องกันเศรษฐกิจไทยรั้งท้ายอาเซียน ตามคาดการณ์ IMF
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ต.ค.68) รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยปีนี้จะอยู่ในระดับใกล้ศูนย์ หรืออาจติดลบเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และมีแนวโน้มจะติดลบต่อไปจนถึงต้นปีหน้า
ภาคส่งออกเริ่มชะลอตัวชัดเจนตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยหากไม่รวมการส่งออกทองคำและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าการส่งออกจะหดตัวราว 2% ส่วนภาคการบริโภคภายในประเทศยังขยายตัวต่ำ เนื่องจาก ภาระหนี้ครัวเรือนสูง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำ และรายได้ที่ฟื้นตัวช้า
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ มาตรการ “Quick Big Win” ของรัฐบาล มีข้อจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ สามารถช่วยได้เพียงบรรเทาปัญหาการชะลอตัวและความยากลำบากทางเศรษฐกิจเท่านั้น เนื่องจากเป็นมาตรการที่ใช้งบประมาณเดิม ไม่ได้เพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุว่า การเพิ่มเม็ดเงินใช้จ่ายจากงบประมาณใหม่และการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยไหลลงลึกกว่าที่เป็นอยู่ และลดความเสี่ยงของการปิดกิจการในภาคธุรกิจขนาดย่อม ขนาดเล็ก และขนาดกลาง พร้อมเน้นว่า เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องมีการ “ผ่าตัดใหญ่” และปรับโครงสร้างเชิงระบบ โดยไม่สามารถรอการดำเนินการจากรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งได้
สังคมไทย โดยเฉพาะประชาชนระดับฐานราก กำลังเผชิญ “กับดักซ้ำซ้อน” หลายมิติ ทั้ง กับดักหนี้สิน กับดักความเหลื่อมล้ำ กับดักรายได้ต่ำและขาดความมั่นคงในการทำงาน รวมถึงปัญหาครอบครัวและการขาดเงินออม ซึ่งล้วนฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ
ประเทศไทยติดอยู่ใน กับดักรายได้ปานกลางมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 ก่อนขยับขึ้นเป็นกลุ่มบนของประเทศรายได้ปานกลางในปี 2553 เคยมีศักยภาพโดดเด่นในหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เกษตร การท่องเที่ยว และบริการสุขภาพ ทำให้ปัญหาความยากจนลดลงจาก 20% ในปี พ.ศ. 2550 เหลือเพียง 10.9% ในปี พ.ศ. 2556 ประชาชนเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม หลังปี พ.ศ. 2557 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับต่ำต่อเนื่อง และฟื้นตัวอย่างเปราะบางหลังวิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มศักยภาพ
ประเทศไทยยังมี จุดอ่อนเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ได้แก่ โครงสร้างประชากรผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้น ขณะที่คุณภาพแรงงานโดยเฉลี่ยยังต่ำและการออมไม่เพียงพอ ระบบเศรษฐกิจโดยรวมมี ผลิตภาพการผลิตรวม (TFP) ต่ำ ต้องพึ่งแรงงานเป็นหลักในการขับเคลื่อนการเติบโต ขาดแคลนแรงงานทั้งทักษะสูงและแรงงานระดับล่าง
อีกทั้งยังมีสัดส่วนภาคการค้าระหว่างประเทศต่อ GDP สูงกว่าเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้ ผันผวนตามปัจจัยภายนอกอย่างมาก ขณะที่ฐานการผลิตเกษตรและบริการยังมีมูลค่าเพิ่มต่ำ การลงทุนด้านวิจัยและนวัตกรรมไม่เพียงพอ ระบบราชการขาดการบูรณาการและประสิทธิภาพต่ำ งบประมาณรั่วไหลจากคอร์รัปชัน โครงสร้างพื้นฐานหลายด้านล่าช้า กฎระเบียบล้าสมัย และการบังคับใช้กฎหมายยังขาดประสิทธิผล
รศ.ดร.อนุสรณ์ อ้างอิงรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งประเมินว่า ขนาดเศรษฐกิจของประเทศไทยจะ ร่วงลงไปอยู่อันดับ 5 ของอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) โดยถูกฟิลิปปินส์และเวียดนามแซงหน้า คาดว่าขนาดเศรษฐกิจไทยในปีดังกล่าวจะอยู่ที่ 654 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 558 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ เนื่องจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยของไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียนต่อเนื่อง และอาจไม่เกิน 2%
เพื่อป้องกันการร่วงหล่นดังกล่าว จำเป็นต้อง เร่งสร้างฐานรายได้ใหม่ของประเทศ พัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่และอุตสาหกรรม New S-Curve ยกระดับอุตสาหกรรมเดิมให้มีศักยภาพแข่งขันสูงขึ้น พร้อมส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเพิ่มมูลค่า เน้นการลงทุนด้านนวัตกรรมและทุนมนุษย์ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเทียบกับ GDP ให้แตะระดับ 30–40%
การเปิดกว้างดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศควรมาพร้อมเป้าหมายชัดเจน ให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ และเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมภายในประเทศได้จริง รวมถึงควรวาง ยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อมุ่งสู่ประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ใช่เพียงนโยบายที่ผูกกับวาระของรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังเสนอให้ พัฒนาตลาดทุนให้เป็นกลไกสำคัญในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ จากระบบการเงินที่พึ่งพาธนาคาร (Bank-based System) สู่ระบบตลาดทุน (Market-based System) เพื่อสร้างความสมดุล มั่นคง และเสถียรภาพทางการเงิน เปิดโอกาสให้กิจการเอสเอ็มอีและประชาชนเข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น พร้อมยกระดับมาตรฐานธุรกิจไทยให้แข่งขันได้ในระดับภูมิภาค