ครม.ไฟเขียวร่าง “พ.ร.บ.โลกร้อน” หนุนไทยสู่ Net Zero 2050

ครม.เห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับแรกของไทย วางกรอบบริหารจัดการโลกร้อนอย่างเป็นระบบ หนุนเป้าหมาย Net Zero 2050 พัฒนากลไกคาร์บอนต่ำ–ETS–CBAM พร้อมตั้งกองทุนภูมิอากาศ เพื่อเพิ่มศักยภาพแข่งขันและสร้างภูมิคุ้มกันประเทศอย่างยั่งยืน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (2 ธ.ค.68) นางสาวลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. เพื่อให้ประเทศไทยรับมือภาวะโลกร้อนได้อย่างจริงจัง และเดินหน้าเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ตามเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกและการมุ่งสู่ Net Zero ในระยะยาว

สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ได้แก่ การจัดตั้ง คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อกำหนดนโยบาย เป้าหมาย และแผนลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงแผนปรับตัวของประเทศ

จัดตั้ง กองทุนภูมิอากาศ ทำหน้าที่เป็นแหล่งเงินกลางสนับสนุนภาคธุรกิจและภาคส่วนต่าง ๆ ในการปรับตัวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยแหล่งเงินของกองทุนมาจากหลายช่องทาง เช่น ระบบซื้อขายสิทธิปล่อยก๊าซ กลไกปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน ค่าธรรมเนียมคาร์บอนเครดิต และแหล่งอื่น ๆ

มีระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้าบางประเภท เพื่อให้ผู้ปล่อยต้องรับผิดชอบต้นทุนคาร์บอนมากขึ้น

กำหนดให้ คาร์บอนเครดิตเป็นทรัพย์สินที่สามารถซื้อขายและโอนได้อย่างเป็นทางการ ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก

จัดทำฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของประเทศ พร้อมจัดทำแผนปรับตัวทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด โดยกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ประเทศไทยมีเครื่องมือครบชุด ทั้งด้านนโยบาย เงินทุน มาตรการทางภาษี และเครื่องมือทางการเงิน เพื่อรับมือโลกร้อนและเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ถือเป็นกฎหมายสำคัญฉบับแรกของประเทศไทยในการบริหารจัดการปัญหาโลกร้อนอย่างเป็นระบบ พร้อมเดินหน้าร่วมมือกับประชาคมโลก โดยมุ่งสร้างกลไกบริหารจัดการผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงระหว่างภาครัฐและทุกภาคส่วน ควบคู่กับการสนับสนุนศักยภาพทางการค้าในรูปแบบคาร์บอนต่ำ เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 (Net Zero 2050)

ร่างกฎหมายประกอบด้วย 14 หมวด 205 มาตรา และบทเฉพาะกาล โดยจะเร่งผลักดันให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อกำหนดทิศทางการลดก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อสภาพอากาศที่รุนแรง อีกทั้งเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและแผนดำเนินงาน

กฎหมายฉบับนี้ยังนำกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing Mechanism) เช่น ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) มาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ภาษีคาร์บอน และคาร์บอนเครดิต มาใช้ควบคู่กันอย่างสมดุล พร้อมสนับสนุนด้านเงินทุนผ่านกองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ลดความสูญเสียและผลกระทบในภาพรวม และเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก

ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ. ได้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามกฎหมายอย่างครบถ้วน คาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในลำดับถัดไป ก่อนเสนอต่อรัฐสภา เพื่อให้สามารถประกาศใช้ได้อย่างทันท่วงที

Back to top button