เปิด 5 มุมมอง “ขับเคลื่อนตลาดทุน” บนเวทีสัมนา SET ก้าวสู่ปีที่ 48

ตลท.จัดงานสัมมนา “SET ก้าวสู่ปีที่ 48 ขับเคลื่อนตลาดทุนแห่งอนาคต - Make it Work for Future” มุ่งขับเคลื่อนตลาดทุนสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน


นายอภิศักดิ์ เกี่ยวการค้า รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการเงินและบริหารเงินลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยในงานสัมมนา “SET ก้าวสู่ปีที่ 48 ขับเคลื่อนตลาดทุนแห่งอนาคต – Make it Work for Future” ว่าองค์กรของเรามีการกำหนดกรอบ Sustainability Framework โดยดึงมาจากเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติที่ตรงกับบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ ใน 4 ด้าน ได้แก่

1.มุมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม นวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน, 2.แผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน, 3.ลดความเหลื่อมล้ำ และ 4.การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยนำมาแตกย่อยสู่ SET ESG in Action ใน 5 มิติ ได้แก่

มิติที่หนึ่ง การบริหารองค์กรอย่างยั่งยืน เน้นเรื่องความโปร่งใส ความรอบด้าน ความเท่าเทียม ความเป็นธรรม การบริหารความเสี่ยง และนวัตกรรม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น e-Lisinging, FundConnext และในช่วงโควิด-19 พัฒนา e-Shareholder Meeting เพื่ออำนวยความสะดวกแก่บริษัทจดทะเบียนในการประชุมผู้ถือหุ้นแบบออนไลน์ รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม เช่น e-Open Account, e-Stamp Duty ระยะต่อไปคือการให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล Digital Asset Exchange

มิติที่สอง การสร้างคุณค่าตลาดทุน มุ่งส่งเสริมทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน กำหนดมาตรฐาน ให้ความรู้ คำปรึกษา ประเมินผล ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล และยกย่องผู้ทำความดีเพื่อเป็นแบบอย่าง เช่น ส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนเข้าสู่ดัชนีความยั่งยืนระดับโลกต่าง ๆ การส่งเสริมให้เกิด Sustainable Finance

มิติที่สาม การพัฒนาและดูแลพนักงาน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดูแลพนักงาน โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่มีมาตรการให้พนักงาน WFH การดูแลอาคารสถานที่ทำงานให้ลดโอกาสจากการติดเชื้อโควิด-19 และส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองผ่าน Online Learning

มิติที่สี่ การพัฒนาและดูแลสังคม ส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้ประชาชนทุกวัยผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีผู้เข้าใช้งานนับล้านราย และสร้างแพลตฟอร์ม SET Social Impact เชื่อมโยงเครือข่ายภาคธุรกิจ และการสร้างหลักสูตรพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อสังคม

มิติที่ห้า การจัดการสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร มีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ บำบัดน้ำเสีย ลดขยะ ลดคาร์บอน และ Green Procurement ส่วนภายนอกได้ขยายเครือข่ายพันธมิตรกว่า 300 ราย ทำงานร่วมกันในการดูแลสิ่งแวดล้อม ผ่าน 3 โครงการสิ่งแวดล้อมของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แก่ “Care The Bear” รณรงค์เรื่องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการจัด Event, “Care The Whale” รณรงค์เรื่องการลดขยะ และ “Care The Wild” รณรงค์เรื่องการปลูกป่า

นายอภิศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การบริหารความเสี่ยงทางการเงินของประเทศทำมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่เกิดวิกฤตปี 2540 เป็นบทเรียนที่ดีที่ทำให้บริษัทไทยมีความพร้อมในการบริหารจัดการในหลายวิกฤตที่ผ่านมา ขณะที่อนาคต การนำ ESG เข้าไปอยู่ในกระบวนการดำเนินธุรกิจ จะทำให้เรามีความพร้อมในการบริหารความเสี่ยงและจัดการกับวิกฤตได้มากยิ่งขึ้น

นายนุกิจ ชลคุป Chief Manufacturing Officer บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยมุมมองในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเน้นย้ำถึงเรื่องความยั่งยืนในภาคธุรกิจไว้ว่า เรื่องความยั่งยืนจะต้องเป็น Integrated Strategy ของทุกเรื่องใน Corporate Strategy ไม่ใช่งานเสริมหรืองานฝาก แต่ต้องเป็นงานหลักของบริษัท รวมถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนทั้งภายในและภายนอกองค์กร ถ้าทุกคนมองเห็นภาพเดียวกัน ก็จะช่วยจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น

พร้อมมองว่า ความยั่งยืนเป็นเรื่องสนุกและท้าทาย เกิดประโยชน์ทั้งต่อมนุษยชาติและต่อตัวเราเอง จุดเริ่มต้นที่ทำเรื่องความยั่งยืนอย่างจริงจัง คือเมื่อปี 2561 หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มจากการสร้างการรับรู้แล้ว ตามด้วยการสร้างให้เกิด Commitment ที่บริษัทต้องทำให้ได้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้อยู่ใน SETTHSI Index ตามเป้าหมาย

สำหรับความยั่งยืนต้องนำเข้ามาเป็นกลยุทธ์ขององค์กร บริษัทให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่อง Climate Change ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์จะทำอย่างไรถึงจะช่วยโลกได้มากขึ้นและต้องมีคุณภาพ ตอบโจทย์ทั้งด้านความยั่งยืนและการเงิน และต้องทำให้ผู้มีส่วนได้เสียเห็นภาพตรงกัน ซึ่งเป็นการดำเนินงานด้านความยั่งยืนแบบ end-to-end ตั้งแต่กระบวนการจากต้นทางจนถึงผู้บริโภคตลอดจนผู้มีส่วนได้เสีย

นายไตรสรณ์ วรญาณโกศล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI และนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA) กล่าวถึงประเด็นความยั่งยืนในการลดความเหลื่อมล้ำ ว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ในเรื่องของศักยภาพและประสบการณ์ต่างๆ ดังนั้นสิ่งที่สมาคมฯ จะช่วยได้ในการลด Gap นั้น ด้วยการสร้างการรับรู้ (Awareness) ของ ESG ผลักดันให้เกิดการยอมรับ (Adopt) ในสิ่งเหล่านั้น และสุดท้ายคือการทำทันที (Take Action) หรือ Awareness – Adopt – Action นั่นเอง

โดยบริษัทจดทะเบียนใน mai เกือบทั้งหมดเป็น SMEs เข้ามาใช้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นแหล่งระดมทุนเพื่อการเติบโต สมาคม maiA สร้าง community ให้ผู้บริหารมาแลกเปลี่ยนมุมมองประสบการณ์ระหว่างกัน ผู้บริหาร mai ที่ส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นใหม่ ทำอย่างไรให้ทุกคนได้รู้จักกัน ค้นหาโอกาสใหม่ ๆ และแชร์ประสบการณ์ร่วมกัน ขณะเดียวกันก็ยังสร้างแรงบันดาลใจให้ SMEs ในการเติบโต และให้ข้อมูลกับนักลงทุนและนักวิเคราะห์

ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนใน mai ยังร่วมกันสร้างกิจกรรมเพื่อสังคม ระดมพล CEO มา Coaching ให้ธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) ให้เข้าใจเรื่องการดำเนินธุรกิจ สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ นอกจากนี้ มีกิจกรรม Art for Cancer ช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็ง กิจกรรม Virtual Run ระดมทุนเพื่อมอบให้กับสภากาชาดไทย รวมถึงเข้าร่วมโครงการสิ่งแวดล้อมของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสร้างเป็นโมเดล ให้เกิดผลกระทบที่ดีในวงกว้าง

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์การกองทุน กสิกรไทย จำกัด ให้มุมมองว่า ปัจจุบันความสนใจเรื่องการลงทุนที่เน้นเรื่อง ESG ค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มนักลงทุนสถาบัน  เราควรสร้างความตระหนักแก่นักลงทุนทั่วไป ในแง่ของการให้ความสำคัญของการนำปัจจัย ESG มาพิจารณาร่วมด้วยในการตัดสินใจลงทุน หน้าที่ของผู้จัดการลงทุนคือการสร้างสมดุลระหว่างการสร้างผลตอบแทนและประเด็นด้าน ESG ในฐานะนักลงทุนสถาบัน เชื่อว่าการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบโดยคำนึงถึง ESG จะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนได้ ช่วยลดความเสี่ยงทั้งปัจจัยภายนอกและภายในตัวธุรกิจเอง และช่วยแยกแยะและเพิ่มโอกาสการลงทุน

ขณะที่บริษัทจดทะเบียนก็ต้องเห็นความสำคัญของการทำ ESG ด้วย ปัจจุบัน พบว่าการปฏิบัติตามหลัก ESG ยังกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ส่วนบริษัทขนาดกลางและเล็กแม้มีความเข้าใจและต้องการดำเนินการ ก็ยังติดเรื่องทรัพยากร จึงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป

โดยรายงาน Global Sustainable Review ปี 2563 พบว่าแนวโน้มลงทุนโดยใช้หลักการ ESG ใน 5 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกเติบโตกว่า 50% ขณะที่ทุกภูมิภาคมีเม็ดเงินลงทุนอย่างชัดเจน และเติบโตอย่างก้าวกระโดด 1 ใน 3 ของมูลค่าการลงทุนทั่วโลกเป็นการลงทุนแบบ ESG ขณะสัดส่วนการลงทุนใน ESG ในประเทศไทยยังน้อยมาก มีแค่ 3.4% หรือ  6 หมื่นกว่าล้านบาทของมูลค่าการลงทุนกองทุนรวมหุ้นในประเทศทั้งหมด ซึ่งอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท

ภาพรวมกองทุน Passive Investment พบว่าทั่วโลกมีการเติบโตตามเทรนด์ ESG อย่างก้าวกระโดดเช่นกัน โดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป ขณะที่ กลยุทธ์การลงทุน ESG แบบ Active Investment ก่อนหน้านี้ทั่วโลกใช้ Negative Screening โดยวิธีคัดบริษัทที่ไม่ผ่านการพิจารณาตามหลัก ESG ออกจากรายชื่อที่สามารถลงทุนได้ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์ ESG Integration แทน เป็นการรวมกลยุทธ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้มีความยืดหยุ่นในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนได้มากขึ้น

โดยการประเมิน ESG ของ KAsset จะให้น้ำหนักในแต่ละปัจจัยไม่เท่ากัน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนในแต่ละอุตสาหกรรมจะมีผลกระทบในด้าน ESG ที่แตกต่างกันออกไป เช่น กลุ่มพลังงานจะมีผลกระทบเรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่ากลุ่มอื่น ขณะที่กลุ่มธนาคารอาจต้องให้ความสำคัญในด้านสังคมมากกว่าธุรกิจอื่น

ทว่า ประเทศที่อยู่ในกลุ่ม Emerging Market อย่างประเทศไทย ประเด็นธรรมมาภิบาลนั้นก็สำคัญเช่นกัน เพราะถ้าบริษัทมีธรรมาภิบาลที่ดี ก็สามารถให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสังคมในเชิงนโยบายที่ดีและมีประสิทธิภาพ ประกอบกับการเปิดเผยข้อมูลด้านธรรมาภิบาลของไทยมีมาก และเข้าถึงได้ง่ายกว่าด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยังค่อนข้างจำกัด

โดยการลงทุนในบริษัทที่มี ESG ต้องระวังประเด็นเรื่อง “Green wash” หรือการที่บริษัทที่มีการสร้างภาพลักษณ์ให้นักลงทุนเข้าใจผิดว่าบริษัทมีความรับผิดชอบต่อ ESG แต่แท้จริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ดังนั้น นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ และติดตามว่าบริษัททำตามนโยบายหรือไม่ และมีการวัดผลอย่างไร

นางรัตน์วลี อนันตานานนท์ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ESG เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงชั้นยอดของทุกคน ด้านผู้บริโภค หากพิจารณาข้อมูล ESG พลังนี้จะส่งไปถึงผู้ประกอบการได้ ด้านนักลงทุน สามารถใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในการตัดสินใจลงทุนได้อีกมิติ ขณะที่ผู้ประกอบการ ก็สามารถใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในการบริหารจัดการและสร้างโอกาสให้กับธุรกิจได้ โดยภาพรวมการพัฒนาความยั่งยืน มีเป้าหมายหลักอยู่ 2 ประการ คือ การส่งเสริมธุรกิจให้มีความยั่งยืน และการส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน

สำหรับกลไกที่เป็น 2 เครื่องมือสำคัญ ได้แก่ SET ESG Data & Disclosure และ Education

โดยเครื่องมือแรก SET ESG Data & Disclosure ในรูปแบบ SET ESG Data Platform ข้อมูล ESG มีความสำคัญในการช่วยบริหารความเสี่ยง การบริหารนโยบายภาครัฐ การตัดสินใจลงทุน และการบริหารจัดการประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจดียิ่งขึ้น จะช่วยตอบโจทย์การดำเนินงานของทุก Stakeholders

ส่วน SET ESG Data Platform คือระบบการจัดการข้อมูล ESG ที่สำคัญ คือ

1.SET ESG Metrics ข้อมูลตัวชี้วัดการดำเนินงานด้าน ESG ที่บริษัทจดทะเบียนรายงาน ทำให้เห็นประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความยั่งยืนของธุรกิจ และผู้ลงทุนสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.ESG Structured Data จะทำให้นำข้อมูลในรูปแบบ Structured Data ไปใช้เปรียบเทียบและวิเคราะห์ต่อได้อย่างสะดวก

ด้านเครื่องมือที่สอง คือ Education กับโครงการ SET ESG Academy โดยโครงการ SET ESG Academy เตรียมความพร้อมให้บริษัทจดทะเบียนด้านความยั่งยืน ทั้งการให้ความรู้ การสร้าง Junior ESG Professionals เพื่อยกระดับผู้ปฏิบัติงานด้าน ESG ให้ได้มาตรฐาน และจะผลักดันหลักสูตรนี้เข้าสู่มหาวิทยาลัยเพื่อผลิตบุคลากรรุ่นใหม่เข้าสู่แรงงานด้าน ESG ต่อไป

ทั้งนี้ การสร้าง ESG Expert Pool รวมพลังผู้เชี่ยวชาญด้าน ESG แบบพี่สอนน้อง ช่วยขับเคลื่อน ESG ให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร ตลาดทุน และประเทศ

และสุดท้ายคือการปลูกฝัง ESG DNA ส่งมอบความรู้ควบคู่การสร้างจิตสำนักการมีส่วนร่วมให้ทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนความยั่งยืนไปด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าสู่ปีที่ 48 ในวันนี้ ทุกภาคส่วนล้วนมีส่วนร่วมในการสร้างตลาดทุนมาด้วยกัน เป็นเหมือนการนำจิ๊กซอว์ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาเศรษฐกิจมารวมกัน การนำความยั่งยืนมาเป็นเรือธง ต้องทำจริง ทำทันที สื่อสาร และต้องทำร่วมกับพันธมิตร เพื่อขับเคลื่อนตลาดทุนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

Back to top button