
ONEE โชว์กำไร Q3 โต 26% แตะ 206 ล้านบาท โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 3.20 บ.
บล.ดาโอ (ประเทศไทย) เผยผลประกอบการ ONEE ไตรมาส 3/68 ดีกว่าคาดมาก กำไรสุทธิ 206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน และ 139% จากไตรมาสก่อน รับแรงหนุนรายได้ Idol Marketing โตโดดเด่น ดันอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวต่อเนื่อง ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3.20 บาท
บริษัท ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 139% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยผลประกอบการดังกล่าวถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาดถึง 338% เนื่องจากรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ปรับตัวสูงกว่าที่ประเมินไว้มาก สะท้อนถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิผล
สำหรับการเติบโตของกำไรเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ได้รับแรงหนุนจากรายได้รวมที่ขยายตัว 10% โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจ Idol Marketing ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ช่วยชดเชยรายได้จาก Content Marketing ที่ลดลง 19% ในขณะเดียวกัน บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A to sales) ให้ลดลงจากปีก่อน สะท้อนการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้านกำไรเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เติบโตอย่างโดดเด่นจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัวแตะ 37.6% จากระดับ 33.8% ในปี 2567 ซึ่งเป็นผลจากสัดส่วนรายได้ของ Idol Marketing ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยจากแนวโน้มผลประกอบการที่ดีกว่าคาด ฝ่ายนักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิของ ONEE ขึ้นทั้งในปี 2568 และ 2569 โดยเพิ่มขึ้น 55% และ 32% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนรายได้และอัตรากำไรที่สูงกว่าคาดการณ์เดิม โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 420 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน และปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็น 484 ล้านบาท เติบโต 15% จากปีก่อนหน้า
โดยการขยายตัวของผลกำไรดังกล่าวได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้รวมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6% และอัตรากำไรที่ขยายตัวต่อเนื่อง จากการควบคุมต้นทุนการผลิตและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับคำแนะนำหุ้น ONEE จาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 3.20 บาท อ้างอิงค่า P/E ปี 2569 ที่ระดับ 16 เท่า จากเดิมที่ 2.70 บาท โดยให้เหตุผลว่า ONEE เป็นบริษัทที่มีโครงสร้างรายได้แตกต่างจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกัน เนื่องจากพึ่งพารายได้จากโฆษณาเพียง 34% ของรายได้รวม ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งรายอื่น ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบจำกัดจากการฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณาที่เป็นไปอย่างช้า
ขณะเดียวกัน มูลค่าหุ้นของบริษัท (Valuation) ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับกลุ่มสื่อและบันเทิง จึงถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในช่วงต่อจากนี้

