การใช้ที่ดินรัฐ

กรมธนารักษ์ ประกาศเดินหน้าโครงการ Landlord Sharing ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์จากที่ราชพัสดุ โดยมุ่งนำทรัพย์สินของรัฐที่ยังไม่ได้ถูกใช้หรือใช้ไม่เต็มศักยภาพ มาปรับพัฒนาเป็นโครงการเพื่อสาธารณประโยชน์ อาทิ ด้านสาธารณสุข การศึกษา การพัฒนาคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างผลประโยชน์กลับคืนสู่ประเทศชาติอย่างคุ้มค่า หลักการดำเนินโครงการจะต้องไม่ขัดกับกฎหมายการเงินการคลังและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งต้องมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ โครงการดังกล่าวจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะได้อย่างเพียงพอ ขณะที่ภาครัฐสามารถลดภาระงบประมาณ ลดพื้นที่รกร้าง และเพิ่มรายได้จากการใช้ที่ราชพัสดุให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ยังเป็นการต่อยอดไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและสร้างความสมดุลในการบริหารจัดการทรัพย์สินของรัฐ ขณะที่กรมที่ดินเปิดรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติ “ทรัพย์อิงสิทธิ” ฉบับใหม่ โดยมีสาระสำคัญในการให้อำนาจหน่วยงานของรัฐจัดตั้งทรัพย์อิงสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ที่ถือครองหรือได้รับโอน โดยมีกำหนดเวลาไม่เกิน 99 ปี เพื่อใช้เป็นกลไกสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและขยายโอกาสให้เอกชนหรือประชาชนสามารถใช้ที่ดินของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ยังมีการขยายคำนิยาม “อสังหาริมทรัพย์” และ “หน่วยงานของรัฐ” ให้ครอบคลุมถึงที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง และทรัพย์สินที่มีเอกสารสิทธิ พร้อมทั้งเปิดทางให้เอกชนสามารถโอนอสังหาริมทรัพย์ให้หน่วยงานของรัฐตั้งทรัพย์อิงสิทธิ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการเชิงเศรษฐกิจในระยะยาว โดยไม่จำเป็นต้องโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการลงทุนและส่งเสริมการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่สร้างผลประโยชน์ให้ประเทศ ทั้งนี้ การผลักดันโครงการ Landlord Sharing และร่าง พ.ร.บ. “ทรัพย์อิงสิทธิ” สะท้อนถึงความพยายามของกรมธนารักษ์ในการปรับบทบาทจากผู้ดูแลที่ราชพัสดุ ไปสู่การเป็น “ผู้สร้างมูลค่า” เพื่อเพิ่มศักยภาพทรัพย์สินของแผ่นดิน ใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองทั้งต่อเป้าหมายทางเศรษฐกิจและความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง