ผลประกอบการแบงก์ใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันจันทร์ (14 ก.ค.68) ในแดนบวก โดยนักลงทุนติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาลวอชิงตัน กับ สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโก ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเตรียมเก็บภาษีนำเข้าที่อัตรา 30% เริ่มมีผลวันที่ 1 สิงหาคม 2568 โดยนักลงทุนตั้งความหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะสามารถเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ลงได้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 44,459.65 จุด เพิ่มขึ้น 14 จุด หรือ +0.20% ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 6,268.56 จุด เพิ่มขึ้น 81 จุด หรือ +0.14% ดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ปิดที่ 20,640.33 จุด เพิ่มขึ้น 80 จุด หรือ +0.27% ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ประเมินว่า ตลาดยังรับมือกับแรงกดดันจากข่าวภาษีได้ดี โดยมองว่ามีโอกาสเจรจาลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ขณะที่ Nasdaq ทำสถิติสูงสุดใหม่ จากแรงหนุนของหุ้นเทคโนโลยี เช่น Palantir, Meta, Amazon และ Tesla รวมถึงหุ้นการเงินอย่าง Wells Fargo และ JPMorgan ที่ขยับขึ้นก่อนฤดูรายงานผลประกอบการ (ข้อมูลจาก The Wall Street Journal, Investor’s Business Daily) นักลงทุนยังรอรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีใหม่ต่อเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ ผลประกอบการไตรมาส 2 จะเริ่มประกาศ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารใหญ่ตั้งแต่วันอังคาร นักลงทุนคาดว่าผลประกอบการที่แข็งแกร่งอาจช่วยบรรเทาความกังวลด้านภาษี ส่วนด้านนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาชิคาโก (Chicago Fed) เตือนว่า มาตรการภาษีใหม่อาจทำให้การประเมินเงินเฟ้อซับซ้อนขึ้น และอาจลดโอกาสที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้