เปิดภาคเรียนใหม่

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ และวันวิสาขบูชา โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ซึ่งระบุในบทวิเคราะห์ดังนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ปกครองช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ (Back to School) ประจำปี 2568 พบว่ามีการใช้จ่ายรวมมูลค่าประมาณ 62,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งถือเป็นตัวเลขการใช้จ่ายช่วงเปิดเทอมที่ “สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์” นับตั้งแต่ปี 2553 หรือกว่า 14 ปีที่ผ่านมา โดยผลสำรวจยังชี้ว่า กลุ่มผู้ปกครองที่ระบุว่ามี “เงินเพียงพอ” สำหรับค่าใช้จ่ายเปิดเทอมในปีนี้มีสัดส่วนสูงถึง 67% ขณะที่อีก 33% ยังคงประสบภาวะไม่เพียงพอ แต่ก็พร้อมจะใช้จ่ายตามความจำเป็นเพื่อบุตรหลาน สะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา แม้ในภาวะต้นทุนชีวิตยังสูง นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยยังเผยผลสำรวจการใช้จ่ายช่วงวันวิสาขบูชาในปีนี้ พบว่าบรรยากาศโดยรวมมีความคึกคักมากกว่าปีก่อน คาดว่ามีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบราว 3,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.16% จากปีก่อนหน้า ขณะที่บทวิเคราะห์ภาพรวมประเมินว่า บรรยากาศการจับจ่ายในช่วงเปิดเทอมและวันวิสาขบูชาที่คึกคักนี้ ถือเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจฐานราก และส่งอานิสงส์ต่อเนื่องไปยังกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในหมวดสินค้าจำเป็น (Consumer Staples) เช่น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC,บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับสินค้าอุปโภคบริโภคและเครื่องใช้จำเป็นของนักเรียน ขณะเดียวกันกลุ่ม อุปกรณ์ไอที ที่เกี่ยวข้องกับการเรียน เช่น บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI, บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7, บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ ADVICE แนวโน้มได้ประโยชน์จากการจับจ่ายอุปกรณ์การเรียนที่เปลี่ยนรูปแบบเข้าสู่ดิจิทัลมากขึ้น รวมถึงกลุ่มเช่าซื้อ (Hire Purchase) อาทิ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ซึ่งมักจะได้รับผลดีจากยอดสินเชื่อในลักษณะฤดูกาลช่วงเปิดเทอม สำหรับ CPALL แนะนำราคาเป้าหมาย 80 บาท คาดว่ากำไรปกติในปี 2568 จะเติบโต 15% โดยได้แรงหนุนจาก1.การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales Growth: SSSG) ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 3%, 2. อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 0.2ppt จากการปรับปรุงส่วนประสมผลิตภัณฑ์ไปสู่อัตรากำไรที่สูงขึ้นในทุกหมวด คาดว่าค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายจะทรงตัว เทียช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ 20.3% โดย Valuation หุ้นซื้อขาย PER25F ที่ 18 เท่า vs ค่าเฉลี่ยระยะกลาง-ยาว 25 เท่า โดยปัจจัยบวก CPAXT รายงานกำไรไตรมาส 1/68 ดีกว่าตลาดคาด น่าจะหนุน CPALL ที่รายงานสัปดาห์หน้า และเก็งกำไรภาพการจับจ่ายในประเทศคึกคักช่วงสุดสัปดาห์วันหยุดยาวและช่วงก่อนเปิดเทอม ส่วน CPAXT แนะนำราคาเป้าหมาย 30 บาท โดย SSSG (ยอดขายสาขาเดิม) ในไตรมาส 2/2568 อาจต่ำกว่าไตรมาส 1/2568 เนื่องจากฤดูร้อนที่ค่อนข้างเย็นอาจกระทบต่อยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทำความเย็นและเครื่องดื่ม ทั้งในหน่วยค้าส่งและค้าปลีก อย่างไรก็ตาม SSSG น่าจะทรงตัวและไม่น่าจะติดลบ ผสาน เชิงกลยุทธ์ที่เราเห็นภาพบวกการพัฒนามาร์จิ้น โดยรวมยังคาดเป็นภาพกำไรประคองตัวเติบโตได้ สอดรับประมาณการกำไรปี 2025 ที่นักวิเคราะห์พื้นฐานเราคงคาดเติบโตได้ 27.8% ด้าน Valuation หุ้นซื้อขาย PER25F ที่ 14-15 เท่า และปัจจัยบวกปรับคำแนะนำหุ้น CPAXT ขึ้นเป็น "ซื้อ" กำไร ไตรมาส 1/65 หลังบริษัทสามารถขยายอัตรากำไรขั้นต้นได้ 0.4 จุดเปอร์เซ็นต์ มาอยู่ที่ 14.5% ซึ่งดีกว่าที่เราคาดไว้ ปัจจัยหนุนมาจากการปรับปรุงในกลุ่มอาหารสด (ทั้งการคัดสรรและคุณภาพ) ของหน่วยธุรกิจค้าส่ง (แม็คโคร) ขณะที่หน่วยค้าปลีก (โลตัส) และเก็งกำไรภาพการจับจ่ายในประเทศคึกคักช่วงสุดสัปดาห์วันหยุดยาวและช่วงก่อนเปิดเทอม