3G

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า บริษัทร่วมกับกองทัพไทยและคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประกาศความพร้อมในการเปิดใช้งานสถานีฐานมือถือที่ "ภูมะเขือกลางและภูมะเขือบน" ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการปฏิบัติภารกิจเพื่อป้องกันอธิปไตยของชาติ และรักษาความมั่นคงของกองทัพไทย โดยเครือข่ายที่ติดตั้งครอบคลุมการใช้งานทั้ง 5G, 4G และ 3G เพื่อรองรับการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐและกองทัพที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเดิมไม่มีสัญญาณสื่อสารมือถือ ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างจำกัด "เราได้สนับสนุนกองทัพไทยในการรักษาความมั่นคงชายแดนอย่างเต็มที่ หลังได้รับการประสานจากกองทัพและสำนักงาน กสทช. แจ้งว่าพื้นที่ภูมะเขือไม่มีสัญญาณ ทำให้การติดต่อสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปอย่างยากลำบาก ทีมงานทรูจึงได้เข้าไปร่วมสำรวจพื้นที่และประสานงานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จนสามารถดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์สัญญาณมือถือบนเสาไฟฟ้าในพื้นที่ภูมะเขือได้สำเร็จ ทำให้ล่าสุดหน่วยงานภาครัฐและกองทัพไทยสามารถสื่อสารผ่านมือถือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้ง 5G, 4G และ 3G โดยครอบคลุมเฉพาะพื้นที่ที่กองทัพไทยประจำการเท่านั้น ทั้งนี้ เราได้ระงับสัญญาณมือถือในพื้นที่ชายแดนตามมาตรการที่ตกลงร่วมกับภาครัฐและ กสทช. อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณถูกนำไปใช้นอกประเทศและลดความเสี่ยงจากการใช้สัญญาณผิดวัตถุประสงค์เพื่อความปลอดภัยของประชาชน" นายจักรกฤษณ์ กล่าว ด้าน นายประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีและความปลอดภัยระบบสารสนเทศ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า เราได้ร่วมมือในการขยายสัญญาณสื่อสารเพื่อสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและกองทัพ โดยติดตั้งสถานีฐานใหม่ให้ครอบคลุมการใช้งานด้วยคลื่น 700 MHz และ 900 MHz ซึ่งรองรับทั้ง 5G, 4G และ 3G พร้อมกำหนดพื้นที่ให้สัญญาณครอบคลุมเฉพาะบริเวณที่เจ้าหน้าที่ประจำการ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังได้นำระบบ AI-CODC (Cell Outage Detection & Compensation) มาใช้ดูแลสถานีฐานในพื้นที่ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบบนี้เป็น Self Healing Network ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์บริหารจัดการเครือข่ายและมอนิเตอร์ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งทำหน้าที่ปรับจูนสัญญาณอัตโนมัติจากสถานีฐานอื่นใกล้เคียงเพื่อชดเชยสัญญาณเครือข่ายในพื้นที่ที่ประสบปัญหา ทำให้สัญญาณยังคงครอบคลุมการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยลดความจำเป็นในการส่งทีมเจ้าหน้าที่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยง แต่ยังคงคุณภาพการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ