ConsumerFinance

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยบทวิเคราะห์ กรณีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการขอความร่วมมือสถาบันการเงินและผู้ให้บริการสินเชื่อภาคเอกชนในการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ทวีความรุนแรง และอุทกภัยในภาคเหนือจากอิทธิพลของ “พายุวิภา” โดย ธปท. ได้กำหนดแนวทางการช่วยเหลือที่ครอบคลุมทั้งสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และสินเชื่อทุกประเภท เช่น การลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิต, การขยายวงเงินฉุกเฉินเกินกว่ากรอบที่กำหนดสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย ยืดระยะเวลาชำระหนี้ และอนุมัติวงเงินฟื้นฟูเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยหรือสนับสนุนการดำรงชีพ โดยมาตรการทั้งหมดมีระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน นับจากวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 พร้อมผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ให้สามารถคงชั้นเดิม ทั้งนี้ บล.กรุงศรี ให้มุมมอง "Neutral" ต่อมาตรการนี้ เนื่องจากคาดว่าสัดส่วนลูกหนี้ที่จะเข้าร่วมโครงการจะอยู่ในระดับจำกัด จากข้อกำหนดว่าต้องได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนและภัยธรรมชาติภาคเหนือเท่านั้น อย่างไรก็ตาม บล.กรุงศรี เชื่อว่าการช่วยเหลือนี้จะส่งผลเชิงบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ของกลุ่มธนาคาร ด้วยการลดความเสี่ยงในการเกิดหนี้เสีย (NPL) และช่วยลดภาระการตั้งสำรอง (Credit Cost) ในระยะกลาง โดยยังไม่พบสัญญาณว่ามาตรการดังกล่าวจะกระทบรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Income – NII) อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะถูกชดเชยด้วยต้นทุนความเสี่ยงที่ลดลง อีกทั้งธนาคารหลายแห่งได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เชิงรุกล่วงหน้าแล้ว เช่น การพักชำระหนี้ การให้วงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการปรับค่างวดเพื่อให้สอดรับกับความสามารถในการชำระหนี้ บล.กรุงศรีจึงคงคำแนะนำ “Neutral” สำหรับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยยังเลือกธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB (ราคาเป้าหมาย 25 บาท) และบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB (ราคาเป้าหมาย 145 บาท) เป็นหุ้นเด่นจากความแข็งแกร่งของโครงสร้างงบดุลและ Coverage Ratio ที่อยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกัน ยังคงมุมมองเชิงบวก (Bullish) ต่อกลุ่ม Consumer Finance ซึ่งมีโอกาสได้รับอานิสงส์จากการกระตุ้นกำลังซื้อและความยืดหยุ่นของมาตรการธปท. ที่เอื้อต่อการบริหารพอร์ตลูกหนี้รายย่อย โดยแนะนำ “ซื้อ” บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC (เป้าหมาย 58 บาท) และบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC (เป้าหมาย 40 บาท) เป็นท็อปพิก นอกจากนี้ บล.กรุงศรียังติดตามพัฒนาการของพายุ “วิภา” อย่างใกล้ชิด โดยรายงานจากกรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา พายุลูกนี้ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสานตอนบน เช่น จังหวัดน่าน พะเยา และเชียงราย โดยก่อให้เกิดฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่ม ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้ภาครัฐต้องเร่งออกมาตรการฟื้นฟูในระยะถัดไป