EAT

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 ก.ค.65) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าการขับเคลื่อนการประเทศอย่างต่อเนื่องไม่ให้สะดุด และสอดคล้องการทิศทางพัฒนาของโลก โดยเฉพาะการผลักดันบทบาทของประเทศไทยให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ไม่ได้บังอาจว่าใหญ่ที่สุด ดีที่สุด โดยได้มีมาตรการการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ ซึ่ง ครม.เห็นชอบมาตรการทางภาษีเพิ่มเติมอีก 2 รายการ คือ 1.ลดอัตราภาษีประจำปีลงร้อยละ 80 จากอัตราที่กำหนดตามขนาดของรถเป็นระยะเวลา 1 ปี สำหรับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565-30 กันยายน 2568 ซึ่งเราคาดว่าจะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในช่วงดังกล่าวมากกว่า 128,000 คัน หรือมากกว่านั้น 2.การยกเว้นอากร ศุลกากร สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ได้แก่ รถยนต์นั่งทั่วไป รถยนต์โดยสารสำหรับไม่เกิน 10 คน รถกระบะแบบพลังงานไฟฟ้า ที่ประกอบผลิตภายในประเทศ ตั้งแต่วันที่ร่างประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับจนถึง 31 พฤษภาคม 2568 โดยปัจจุบันรถยนต์แบบแบตเตอรี่ไฟฟ้ายังไม่มีผลิตภายในประเทศ แต่ก็เตรียมการสนับสนุนให้มีการผลิตในประเทศไทยขึ้นมา ซึ่ง 2 มาตรการเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งในหลายมาตรการที่รัฐบาลพยายามเดินหน้ามาโดยตลอด นับตั้งแต่ว่าตนประกาศเป้าหมายพลิกโฉมการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เพื่อจะส่งเสริมสร้างแรงจูงใจใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศได้อีกด้วย ทั้งนี้ หุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากประเด็นดังกล่าว แบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เช่น BCPG, BPP, DELTA, EA และ GPSC 2.กลุ่มผู้ให้บริการสถานีชาร์จ เช่น BCP, CPALL, DELTA, FORTH, OR และ FORTH 3.กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนประกอบยานยนต์ เช่น AH, EPG, GYT, FPI, HFT, NER, NDR, PACO, PCSGH, PJW, SAT, STANLY, TKT และ TRU 4.กลุ่มผู้ผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เช่น DELTA, KCE และ HANA 5.กลุ่มผู้ประกอบรถโดยสารไฟฟ้า เช่น CHO, CWT, EAT และ NEX