“โรงพยาบาลราชพฤกษ์” ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 155.78 ล้านหุ้น

"โรงพยาบาลราชพฤกษ์" ผู้ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลในระดับทุติยภูมิ ให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาพยาบาล รวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการทั้งในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น และทุกจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านภูมิภาคอินโดจีน ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 155.78 ล้านหุ้น หวังระดมทุนสร้างโรงพยาบาลใหม่ โดยมี บล.ธนชาต เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน


สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บริษัทโรงพยาบาลราชพฤกษ์ จำกัด (มหาชน) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ฉบับแรกเมื่อวันที่ 10 ต.ค.59 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 163.78 ล้านหุ้น คิดเป็น 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่เรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ โดยแบ่งเสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 155.78 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการและผู้บริหาร 8 ล้านหุ้น

สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปใช้ก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลใหม่ รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการแพทย์ โดยมี บล.ธนชาต เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

ทั้งนี้ โรงพยาบาลราชพฤกษ์ เป็นโรงพยาบาลที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยในระดับทุติยภูมิ ให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาพยาบาล รวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการทั้งในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น และทุกจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอินโดจีน โดยมีจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ จังหวัดชัยภูมิ กาฬสินธุ์ มหาสารคาม อุดรธานี เป็นต้น

โดยปัจจุบัน โรงพยาบาลราชพฤกษ์ มีจำนวนเตียงผู้ป่วยจดทะเบียนรวม 50 เตียง และเปิดใช้งานจริงเต็มจำนวน โดยมีห้องตรวจทั้งหมด 12 ห้อง สามารถรองรับผู้ป่วยนอกได้ถึง 236,520 คนต่อปี

สำหรับโครงการในอนาคตผู้บริหารพบว่าบริษัทมีโอกาสในการที่จะมีส่วนช่วยทำประโยชน์ให้กับทุกภาคส่วนได้มากขึ้น ประกอบกับการที่จังหวัดขอนแก่นเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการแพทย์ของภาคอีสานและภาคพื้นอินโดจีน ซึ่งยังมีศักยภาพการขยายตัวในอนาคตได้สูง บริษัทจึงได้ตัดสินใจขยายธุรกิจด้วยการสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ขนาด 202 เตียงห่างจากโรงพยาบาลปัจจุบันประมาณ 1 กิโลเมตร

ทั้งนี้ อาคารดังกล่าวก่อสร้างด้วยรูปแบบโรงพยาบาลสมัยใหม่ ภายใต้แนวคิดการเยียวยาด้วยสิ่งแวดล้อม (Healing environment) เป็นอาคารสูงขนาด 14 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 37,706 ตารางเมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค.60 และกำหนดจะเปิดดำเนินงานต้นไตรมาส 2/61 ประเมินมูลค่าลงทุนรวม 1,129 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้างอาคาร งานระบบ งานตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ 1,000 ล้านบาท และเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ 80 ล้านบาท ไม่รวมมูลค่าที่ดิน 135 ล้านบาทที่บริษัทได้ดำเนินการจัดหาเรียบร้อยแล้ว

โดยเมื่อวันที่ 9 ก.ย.59 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 382,220,000 บาท โดยเป็นหุ้นสามัญจำนวน 382,220,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท และมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 382,220,000 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 546,000,000 บาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 546,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท

ขณะที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ กลุ่มครอบครัว “ศรีนัครินทร์” ถือหุ้น 70,347,940 หุ้น คิดเป็น 18.41% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 12.88% รองลงมาเป็น กลุ่มครอบครัว “เหล่าไพบูลย์” ถือหุ้น 66,921,750 หุ้น คิดเป็น 17.51% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 12.26% และบริษัทธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 38,216,510 หุ้น คิดเป็น 10% จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 7%

ด้านผลการดำเนินงานช่วงที่ผ่านมา รายได้จากกิจการโรงพยาบาลในปี 56-58 เติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 5.5% โดยรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อัตรา 5.7% ผลจากการเพิ่มของรายได้ผู้ป่วยนอกเฉลี่ยต่อครั้งที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในส่วนของรายได้จากผู้ป่วยในเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 5.3% ปัจจัยหลักจากผลจากการเพิ่มของรายได้เฉลี่ยต่อเตียงต่อวันที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งจากจำนวนวันนอนผู้ป่วยใน และรายได้ผู้ป่วยในเฉลี่ยต่อเตียงที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เกิดโรคระบาดขึ้นบ่อย

ส่วนในงวด 6 เดือนของปีนี้สิ้นสุด 30 มิ.ย.59 รายได้จากกิจการโรงพยาบาล 199.18 ล้านบาท เทียบกับ 182.65 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน  กำไรสุทธิ 31.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 17.86 ล้านบาท โดยเฉลี่ยในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.59 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 32.19% และ อัตรากำไรสุทธิ 15.66%

โดยเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.59 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวม 669.77 ล้านบาท หนี้สินรวม 155.34 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 514.43 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองตามกฎหมาย

Back to top button