บลจ.กสิกรไทยส่ง3กองทุนบอนด์ไฮยิลด์พร้อมชูรับผลตอบแทนสูงสุด2.5%ต่อปี

นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 22-28 เมษายน 2558 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน แซท (KEFF3MZ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.30% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีบี (KEFF6MBB) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.40% ต่อปี และกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี เอเจ (KEFF1YAJ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.50% ต่อปี โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี


นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 22-28 เมษายน 2558 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน แซท (KEFF3MZ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.30% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน บีบี (KEFF6MBB) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.40% ต่อปี และกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี เอเจ (KEFF1YAJ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.50% ต่อปี โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ ของบลจ.กสิกรไทย

นายชัชชัยกล่าวถึงรายละเอียดของกองทุนต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF3MZ จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี, เงินฝาก Bank of China, สาขามาเก๊า, ตราสารหนี้ T.C. Ziraat Bankasi A.S., ประเทศตุรกี, ตราสารหนี้ Banco Santander (Brasil) S.A. และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล ด้านกองทุน KEFF6MBB เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี, เงินฝาก China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง, ตราสารหนี้ Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี, ตราสารหนี้ Standard Bank of South Africa, ประเทศแอฟริกาใต้ และตราสารหนี้ Banco Santander (Brasil) S.A., ประเทศบราซิล และด้านกองทุน KEFF1YAJ เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก Bank of China, สาขามาเก๊า, เงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี, ตราสารหนี้ Standard Bank of South Africa, ประเทศแอฟริกาใต้, ตราสารหนี้ Banco Bradesco S.A., และตราสารหนี้ Banco Santander (Brasil) S.A., ประเทศบราซิล โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท

ด้านสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นายชัชชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า “อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยปรับตัวลดลงเล็กน้อยเพียง 0.01 – 0.02% เท่านั้น ทั้งนี้ตลาดค่อนข้างมีปริมาณการซื้อขายน้อย เนื่องจากมีการทำการซื้อขายเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองคือ ตัวเลขเศรษฐกิจไทย ซึ่งหากยังไม่ฟื้นตัวหรือชะลอตัวลง อาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องออกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมอีก

ด้านภาวะตราสารหนี้ต่างประเทศ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีการปรับตัวลดลง เนื่องจากตลาดเกิดความกังวลอีกครั้งกับสถานการณ์ในกรีซกรณีที่อาจมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ ประกอบกับตลาดหุ้นมีแรงเทขายออกมา และทำให้เงินไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้นและอัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลง

Back to top button