ก้าวสุดท้าย

ยังคงต้องลุ้นกันต่อไป หลังจากที่ดัชนี SET ในภาคบ่ายวานนี้ปิดที่ระดับ 1,752.48 จุด เพิ่มขึ้น 2.26 จุดด้วยมูลค่าการซื้อขาย 49,094.38 ล้านบาท ไม่สามารถทะลุปิดเหนือจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ปี 2537 ได้


พลวัตปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล

ยังคงต้องลุ้นกันต่อไป หลังจากที่ดัชนี SET ในภาคบ่ายวานนี้ปิดที่ระดับ 1,752.48 จุด เพิ่มขึ้น 2.26 จุดด้วยมูลค่าการซื้อขาย 49,094.38 ล้านบาท ไม่สามารถทะลุปิดเหนือจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ปี 2537 ได้

เมื่อวานนี้ ดัชนี้เปิดตลาดเช้าในแดนลบตลอดการซื้อขาย ก่อนที่จะแกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบ แต่สามารถพลิกกลับมาอยู่ในแดนบวกได้ จากแรงซื้อกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่และกลุ่มหุ้นที่ให้เงินปันผลดี

นักวิเคราะห์ ประเมินว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันนี้ ดัชนีจะยังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบ และการซื้อขายจะค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของปีและเข้าสู่ช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ แต่น่าจะทะลุทำสถิติปิดทำนิวไฮได้ แม้ว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศที่ได้เข้าซื้อไปค่อนข้างมากแล้ว อาจจะชะลอตัวลงทำให้โอกาสที่จะได้เห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 1,760 จุดเป็นไปได้ยาก

ดังที่ทราบกันดีว่า การที่ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวกมากกว่าปัจจัยลบในช่วงนี้ จนสามารถทะยานขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของดัชนี SET ในปีนี้ มีรายละเอียดขององค์ประกอบในความต่างกันจากอดีตหลายเท่า

ความแตกต่างหลักที่ชัดเจนของปัจจุบันกับอดีต อยู่ที่ 1) ขนาดของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันที่ใหญ่กว่าอดีตอย่างมาก 2) พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนวัดจาก ค่าพี/อีของตลาด และสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัท

มาร์เก็ตแคป หรือมูลค่าทางการตลาดของตลาดหุ้นไทยในปี 2537 อยู่ที่แค่ 2.995 ล้านล้านบาท โดยมีบริษัทจดทะเบียนต่ำกว่า 300 ราย แต่ปัจจุบันมีมาร์เก็ตแคปที่ระดับ 17.255 ล้านล้านบาท มีขนาดใหญ่กว่าในอดีตเกิน 5.5 เท่า มีบริษัทจดทะเบียน และหลักทรัพย์อื่นเช่นกองทุนหลากหลายประเภท REITs และตราสารอนุพันธ์อีกมากมาย เกือบหรือกว่า 1,000 รายการ

หากดูจากพื้นฐานของตลาด จะพบว่าโดยภาพรวมในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งกว่าในอดีตมาก ราคาหุ้นมีความสมเหตุสมผลกับกำไรมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากค่าพี/อีเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่แค่ 18.7 เท่า ในขณะที่ในต้นปี 2537 นั้นมีค่าพี/อีของตลาดมากถึง 32 เท่า           

ยิ่งกว่านั้น หากลงลึกในรายละเอียด จะพบว่าค่าเฉลี่ยหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(ดี/อี) ในปัจจุบันของบริษัทจดทะเบียนโดยเฉลี่ยแล้วต่ำกว่า 2 เท่า จะมียกเว้นบางรายเท่านั้นที่เกินค่าเฉลี่ยมาก

พื้นฐาน ขนาด รวมทั้งความหลากหลาย ตลอดจนผลิตภัณฑ์ป้องกันความเสี่ยงอย่างตราสารอนุพันธ์ ทำให้กลไกการป้องกันตัวเองของตลาดหุ้นไทยและนักลงทุนมีความเข้มแข็งกว่าในอดีตหลายเท่า ดังนั้น การจะประเมินว่า ความเปราะบางของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันเทียบเคียงกับตลาดในอดีต ค่อนข้างจะยากลำบากพอสมควร

แม้จะน่ายินดีที่ได้เห็นการกลับมาทะยานของดัชนี SET ครั้งใหม่นี้ แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือ การทะยานขึ้นของตลาดที่มากกว่าความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม อาจจะกลายเป็นมายาคติของการลงทุนได้ทุกเมื่อ

ในอดีตเมื่อกว่า 100 ปีก่อน งานวรรณกรรมของรัสเซียในยุคทอง นับแต่พุชกิ้น จนถึงมิคาอิล บูลกาคอฟ และโซลเซนิตซิน มีแก่นแกนที่เป็นสาระหลักพัวพันอยู่กับวิถีของคนประเภทหนึ่งซึ่งหาไม่ค่อยพบในสังคมอื่นๆ นั่นคือ พวกที่เรียกว่า คนโง่ขึ้นสวรรค์ หรือ Holy fool

คนโง่ขึ้นสวรรค์ ในปัจจุบันจะหมายถึงนักลงทุนในตลาดหุ้นได้หรือไม่ ยังเป็นปริศนาที่ต้องหาคำตอบ

ฟีโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ ระบุอย่างย่นย่อว่า คนโง่ขึ้นสวรรค์ หมายถึงคนที่เปี่ยมด้วยศรัทธาในลัทธิความเชื่อของตนเอง แต่ไม่ยอมเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของสวรรค์ และเฝ้าเอาแต่ตั้งคำถามท้าทายพระเจ้าอยู่นั่นแหละ

ครั้งหนึ่งในยามที่เกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในสหรัฐฯ เคยมีคนเปรียบเปรยว่า สาระของคนโง่ขึ้นสวรรค์ของวรรณกรรมรัสเซียนั้น ปรากฏขึ้นกับการแก้ปัญหาการล่มสลายของวาณิชธนกิจและสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของอเมริกาชนิดที่ต้องอัดฉีดเงินมหาศาลเข้าไปอุ้มชู ด้วยกระบวนการที่ไม่ได้ดีไปกว่าเมื่อครั้งวิกฤติต้มยำกุ้งของไทยแม้แต่น้อย

ผลพวงของการแก้ปัญหาแบบคนโง่ขึ้นสวรรค์นั้น อาจจะปรากฏในรูปของฟองสบู่ตลาดหุ้นยามนี้ ที่เกิดจากภาวะเงินท่วมโลก ที่ยังหาทางออกไม่ได้ แต่คำถามก็คือว่า คนในตลาดเก็งกำไรที่กำลังเหลิงลมบนยามนี้ จะมีใครกี่คนรอดจากเงื้อมมือของการลงทัณฑ์ที่จะตามมาในอนาคตอันไม่นานนัก

เฉกเช่นสิ่งที่กำลังเกิดกับนักขุดบิทคอยน์ยามนี้ ที่ผันผวนอย่างรุนแรงเกินคาดเดาอนาคตได้

Back to top button