MONO บวกแรง 9% ลุ้นผลงานปีนี้เทิร์นอะราวด์-แนะซื้อลุ้นทดสอบเป้า 1.76 บาท

MONO บวกแรง 9% โดย ณ เวลา 10.19 น. อยู่ที่ระดับ 1.74 บาท บวก 0.15 บาท ลุ้นผลงานปีนี้เทิร์นอะราวด์-แนะซื้อลุ้นทดสอบเป้า 1.76 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(10 ต.ค.64.)ราคาหุ้น บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO ณ เวลา 10.19 น. อยู่ที่ระดับ 1.74 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 9.43% ด้วยมูลค่าซื้อขาย  113.39 ล้านบาท

ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 14.74 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 167.90 ล้านบาท และงวด 6 เดือน ปี 2564 อยู่ที่ 27.86 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 558.17 ล้านบาท ลุ้นปีนี้พลิกกำไรจากปีก่อนขาดทุน 661.49 ล้านบาท

ด้ายบล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ประจำวันที่ 11 ต.ค. 2564 ดังนี้

MONO

ราคาปิด                 แนวรับ                    แนวต้าน             Cut loss

1.59                      1.50                     1.67-1.76                  1.48

ดีดตัวขึ้นจากก้นหลุม โดยมีปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และ MACD เพิ่งพลิกตัวส่งสัญญาณบวก หากผ่าน EMA-75 ที่ 1.67 บาท จะมีต้านถัดไปแถว 1.76 บาท

 

AJA

ราคาปิด                 แนวรับ                    แนวต้าน                 Cut loss

0.69                      0.67                     0.76-0.87                            0.65

กลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น พร้อม Volume เข้าสองวัน ติด และ MACD เพิ่งตัวส่งสัญญาณซื้อ หากผ่านต้านแรกที่ 0.76 บาท จะมีต้านถัดไปแถว High เดิมที่ 0.87 บาท

 

อนึ่งก่อนหน้านี้นายปฐมพงศ์ สิริชัยรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MONO เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการผลักดันธุรกิจ “Marketing Solution” ของ บริษัท โมโน ไซเบ้อร์ จำกัด “Mono Cyber” เป็นบริษัทในเครือฯ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการออกแบบธุรกิจออนไลน์อย่างครบวงจร โดยธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ คือ การทำหน้าที่สร้างสรรค์และเผยแพร่คอนเทนต์ พร้อมเป็นที่ปรึกษาในการบริหารจัดการสื่อออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงออนกราวน์ในการจัดงานอีเว้นท์ให้กับลูกค้าเจ้าของแบรนด์ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

อีกทั่งบริษัทประเมินว่ากำไรต่อจากนี้จะเพิ่มขึ้นทุกไตรมาส โดยการเติบโตจะมาจากรายได้การให้บริการคอนเทนต์ MONOMAX ที่จะเติบโตไปพร้อม ๆ กับ 3BB GIGA TV ที่สิ้นปีนี้คาดว่าจะมีสมาชิกอยู่ที่ 1 ล้านราย

“ธุรกิจ Video Streaming เรามองว่า MONOMAX และ 3BB GIGA TV กำลังจะเติบโตขึ้นมาแซง NETFLIX ได้ภายในสิ้นปีนี้ เพราะปัจจุบัน 3BB GIGA TV ขายได้วันละ 3,500-4,000 กล่อง หลังบริษัทมีการจัดโปรโมชั่น “เน็ตบ้าน 1Gbps/500 Mbps+กล่องดูทีวี พร้อมช่องทีวีพรีเมียมกว่า 30 ช่อง +HBO GO+ MONOMAX ในราคาสุดคุ้มเพียง 700 บาท/เดือน ตลอด 2 ปี ทำให้ลูกค้ามีความสนใจมากขึ้น”

ขณะเดียวกัน บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง โดยมุ่งในส่วนของธุรกิจดาวรุ่ง (rising star) ที่เป็น new S-curve หลังจากเห็นแนวโน้ม Digital transformation และ Digital content consumption มีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งบริษัทจะมีการเติบโตร่วมกับพันธมิตรอย่าง 3BB และผู้ผลิตเนื้อหา (content) ต่าง ๆ นอกจากนี้บริษัทจะมีการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งในส่วนของบุคลากร และสภาพแวดล้อมการทำงาน ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19

โดยในอนาคตบริษัทจะสร้างความแข็งแรงกับ content และการใช้งานของ Monomax เพื่อเป็นอันดับหนึ่งของการให้บริการที่มาจากการเรียกเก็บค่าสมาชิก (Subscription Video on Demand : SVOD) ในประเทศไทย และสร้างความแข็งแกร่งเกี่ยวกับระบบ TV Shopping และการโฆษณาร่วมกันกับ 3BB ที่ได้เห็นกรณีศึกษาที่สำเร็จจากประเทศเกาหลีและอังกฤษ

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทจะมุ่งเน้นสรรหา และผลิต Highlight Content โดยเน้นการผลิตคอนเทนต์ภาพยนตร์ไทยและละครซีรีส์ เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มผู้บริโภคในการรองรับการให้บริการ MONOMAX, บริการคอนเทนต์ทางแพลตฟอร์ม 3BB GIGATV และช่อง MONO29 ซึ่งบริษัทได้มีผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ในวงการมาเสริมทัพ เพื่อผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและตรงใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น และมีแผนการปรับลดสัดส่วนงบประมาณการซื้อลิขสิทธิ์ และมุ่งเน้นการผลิตคอนเทนต์เองเพื่อเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีคอนเทนต์ที่ระยะเวลาการใช้สิทธิไม่จำกัด และสามารถนำคอนเทนต์จัดจำหน่ายได้หลายช่องทางเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ขณะเดียวกัน บริษัทจะขยายฐานรายได้และเพิ่มช่องทางรายได้จากการให้บริการบนแพลตฟอร์ม 3BB GIGATV อาทิ รายได้บริการโฆษณา รายได้จาก Home Shopping เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อให้บริการดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564

ทั้งนี้ในปี 2564 บริษัทตั้งงบลงทุนในส่วนการซื้อและผลิตคอนเทนต์ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทยไว้ที่ประมาณ 800-1,000 ล้านบาท โดยจะค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนคอนเทนต์ที่ผลิตเองให้มากขึ้นใน 5 ปีต่อจากนี้ โดยบริษัทมองทั้งการใช้งานผลผลิต content ให้เต็มประสิทธิภาพ

Back to top button