GULF บวก 3% อานิสงส์จบข้อพิพาท เดินหน้า “ไอพีพี” 5,300 MW เต็มสูบ
GULF วิ่ง 3% อานิสงส์จบข้อพิพาท เดินหน้า "ไอพีพี" 5,300 MW เต็มสูบ โบรกฯชี้กำไร Q4 แตะ 2 พันลบ. รับแรงหนุนธุรกิจไฟฟ้า-ส่วนแบ่งกำไร “อินทัช”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (16 ธ.ค. 2564) ราคาหุ้น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ณ เวลา 15:55 น. อยู่ที่ระดับ 42.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 3.05% โดยทำจุดสูงสุดที่ 42.25 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 41.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.52 พันล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (16 ธ.ค. 2564) โดยคาดกำไรไตรมาส 4/2564 ที่ 2.30 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 86% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และทรงตัวจากไตรมาสก่อน) โตจากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งได้แรงหนุนทั้งฝั่งธุรกิจไฟฟ้า ที่โรง GSRC COD หน่วย 2 เพิ่ม (เพิ่มขึ้น 928 MWe เทียบกับไตรมาส 4/2563 ยังไม่มี) หรือกำลังการผลิตเพิ่มราว 31% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และฝั่ง ICT มีส่วนแบ่งกำไรฯ INTUCH เข้ามา โดยประเมินกำไรปี 2564 ที่ 6.90 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ภาพการเติบโตดีทั้งระยะยาวและระยะสั้น โดยคาดจะมีแผน COD โรงไฟฟ้าเพิ่มอีกดว่าเท่าตัวจากปี 2564 ที่ 4,100 MW เป็น 9,000 MW ในปี 2568 โดยปัจจัยต้องติดตามช่วงถัดไป คือ แผนกลยุทธ์ในการต่อยอดธุรกิจหลังเข้า ถือ INTUCH รวม 42.25%
อย่างไรก็ดีราคาเป็นจุดทยอยสะสมต่อการลงทุนกลางยาวได้ จากกำไรเติบโตสูง โดยมีค่า PER ปี 2565 ที่ 37 เท่า อีกทั้งยังได้รับ Sentiment บวกหลังศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ห้ามยกเลิกโรงไฟฟ้า 5,300 MW รวมทั้งยังเป็นหุ้น Big cap ที่มีการเติบโตสูง และยังมี Upside จากธุรกิจ ICT (หลังเซ็น MOU กับ Singtel พัฒนาธุรกิจ Data center ในไทย) และโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างเจรจา แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 44 บาท
อนึ่งวานนี้ (15 ธ.ค.2564) GULF เปิดเผยความคืบหน้าคดีการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 5,300 เมกะวัตต์ ของบริษัทฯ ว่า ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 ให้กระทรวงพลังงานยกเลิกหนังสือของกระทรวงพลังงานที่มีถึงสำนักงานคณะกรรมการ BOI ในการให้ชะลอการสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนของโครงการของผู้ฟ้องคดี และให้กระทรวงพลังงานแจ้งสำนักงานคณะกรรมการ BOI ทราบ ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา รวมถึงห้ามกระทรวงพลังงานนำผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการประมูลการรับซื้อไฟฟ้าของโครงการดังกล่าวไปใช้เจรจากับผู้ฟ้องคดีเพื่อยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอีกต่อไป ซึ่งคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวถือเป็นที่สุด
สำหรับบริษัท อินดิเพนเดนท์ เพาเวอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (IPD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้น 70% ได้เข้าร่วมประมูลคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนรายใหญ่ประจำ ปี 2555 (โครงการ IPP) ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า ติดตั้ง 5,300 เมกะวัตต์ และเป็นผู้ชนะการประมูล โดย IPD ได้ดำเนินการให้บริษัท กัลฟ์ เอสอาร์ซี จำกัด (GSRC) และบริษัท กัลฟ์ พีดี จำกัด (GPD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ IPD ถือหุ้นทั้งหมด เข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต่อมาในปี 2557 คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)ได้มีมติให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เข้าตรวจสอบผลการประมูลของโครงการ IPP เนื่องจากมีการร้องเรียนว่าขั้นตอนการประมูลคัดเลือกโครงการ IPP ไม่เป็นไปตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ระเบียบของกกพ. และเอกสารข้อกำหนดในการเสนอราคา (RFP) ในการนี้
ด้านกกพ. จึงได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบ เพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายงานผล รวมถึงส่งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้ คตร. ทราบ ซึ่งต่อมา คตร. ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม โดยกระทรวงพลังงานได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินการประมูลโครงการ IPP และได้เชิญบริษัทฯ เข้าประชุมเพื่อขอเจรจายกเลิกโครงการโรงไฟฟ้า GPD ที่ชนะการประมูลและได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. แล้ว อีกทั้ง ยังได้มีหนังสือแจ้งไปยังคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (คณะกรรมการ BOI) ให้ชะลอการสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนของโครงการโรงไฟฟ้าของ GSRC และ GPD ที่ชนะการประมูลทั้งสองโครงการ
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 IPD GSRC และ GPD (รวมเรียกว่า “ผู้ฟ้องคดี”) ได้ยื่นฟ้อง (1) กกพ. (2) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) (3) กระทรวงพลังงาน และ (4) คณะกรรมการตรวจสอบ ข้อเท็จจริง (รวมเรียกว่า “ผู้ถูกฟ้องคดี”) ต่อศาลปกครองกลาง เนื่องจากผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การตรวจสอบการประมูลคัดเลือกโครงการ IPP ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเป็นบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย และข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบการตรวจสอบพิจารณานั้นเป็นข้อมูลที่ถูกบิดเบือนจากความจริง การตรวจสอบดังกล่าวทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการที่มีอุปสรรคไม่สามารถดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าต่อไปได้
ทั้งนี้ ผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งห้ามผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการตรวจสอบหรือนำผลการตรวจสอบการประมูลโครงการ IPP ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นไปใช้หรืออ้างอิงวันที่ 8 ธันวาคม 2559 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจดำเนินการตรวจสอบตามกฎหมาย แต่ได้กระทำนอกเหนือเกินขอบเขตอำนาจในการใช้ผลการตรวจสอบดังกล่าว จนเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย และให้กระทรวงพลังงานแจ้งยกเลิกหนังสือที่ส่งไปถึง คณะกรรมการ BOI เกี่ยวกับการชะลอการพิจารณาอนุมัติการส่งเสริมการลงทุน โดยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้อนุมัติการส่งเสริมการลงทุนแก่ผู้ฟ้องคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อนึ่งเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2560 กระทรวงพลังงานได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง เนื่องจากกระทรวงพลังงานเห็นว่าการกระทำของกระทรวงพลังงานไม่ได้เป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 20 มิถุนายน 2560