TEAMG ปิดพุ่ง 8% หลังผนึกพันธมิตร ลุยศึกษาสร้าง “Medical Valley” ลุ้นปี 65 กำไรแกร่ง

TEAMG ปิดพุ่ง 8% หลังร่วมมือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และพันธมิตรชั้นนำ 25 องค์กร ลุยศึกษาสร้าง “Medical Valley” ในพื้นที่เขต EEC ต่อยอดพัฒนาวิจัยนวัตกรรมการแพทย์มิติใหม่ โบรกชี้กำไรปี 65 โตแกร่ง จับตายอด Backlog เพิ่มต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG ปิดตลาดวันนี้ (12 เม.ย.2565) อยู่ที่ระดับ 6.85 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 7.87% โดยทำจุดสูงสุดที่ 7.00 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 6.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 233.84 ล้านบาท

โดยวานนี้ TEAMG ร่วมลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และพันธมิตรชั้นนำ 25 องค์กร ขับเคลื่อนเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยา บนพื้นที่ 581 ไร่สู่เป้าหมายของการเป็น Medical Hub ในภูมิภาค ต่อยอดการพัฒนา ศึกษาวิจัย นวัตกรรมการแพทย์มิติใหม่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย และ สร้าง Medical Valley ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย

ทั้งนี้ บริษัทเล็งเห็นศักยภาพและโอกาสการพัฒนาระบบนิเวศน์เชิงธุรกิจครบวงจรรองรับการพัฒนานวัตกรรมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการแพทย์ครบวงจร เช่น อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ เพื่อเป็นจุดหมายของผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ทั้งในและต่างประเทศ ผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมและนักวิจัย เพื่อสร้างให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ: ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจร ธรรมศาสตร์ (พัทยา)

ขณะที่ก่อนหน้านี้ บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (16 มี.ค.2565) โดยเมื่อวันที่ 16 มี.ค.2565 ผู้บริหารของ TEAMG เข้าร่วมงาน “บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน” ซึ่งจัดโดย ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำเสนอผลประกอบการทางการเงินปี 2564 และแนวโน้มธุรกิจปี 2565

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญจากการประชุม คือ 1) Backlog ปัจจุบันของ TEAMG มีมูลค่า 3.75 พันลบ. และเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และ 5.6% จากไตรมาสก่อนหน้า 2) Backlog ที่มีการลงนามใหม่ส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น อุโมงค์ส่งน้ำ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 3) บริษัทตั้งเป้าเข้าร่วมในโครงการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) มากยิ่งขึ้น และ 4) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) โดยรวมถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 และประเมินว่าจะฟื้นตัวหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย

ด้านทางฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อยจากการประชุม โดยบริษัทสนใจมีส่วนร่วมในงานที่เกี่ยวของกับ ESG มากขึ้น เช่น โครงการการผลิตความเย็นจากส่วนกลาง (District Cooling) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโครงการบริหารจัดการน้ำนอกจากนี้ โครงการของภาครัฐที่กำลังจะเปิดประมูลยังจะช่วยเพิ่มยอด backlog ให้กับบริษัท รวมทั้ง TEAMG จะยังได้รับโครงการขนาดใหญ่จาก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ในอนาคตอีกด้วย ด้วยแนวโน้มของ Backlog ที่สดใส และอัตราการเปลี่ยน Backlog เป็นรายได้ที่รวดเร็วในไตรมาส 4/2564 ทำให้ทางฝ่ายวิจัยประเมินว่าทั้ง backlog และกำไรสุทธิของบริษัทจะมีทิศทางการเติบโตที่สดใส

โดยทางฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปกติปี 2565 ขึ้นเป็น 6.20% ส่วนปี 2566 ขึ้นเป็น 4.30% และปี 2567 ขึ้นเป็น 2.90% ทางฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการ GPM ลงอิงจากแนวทางของบริษัทต่อผลกระทบจากโควิด-19 แต่ก็ชดเชยด้วยค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลง

ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยเปรียบเทียบประมาณการผลการดำเนินงานปี 2565 ของ TEAMG กับระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2562 คาดการณ์รายได้ในปี 2565 ของทางฝ่ายวิจัย สูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 อยู่ที่ 1.13 เท่า กำไรปกติปี 2565 สูงกว่า 1.08 เท่า มูลค่า Backlog ต่ำกว่า 0.97 เท่า และราคาหุ้นปัจจุบันสูงกว่า 1.31 เท่า ทางฝ่ายวิจัยเชื่อว่าราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นมาจากการที่ตลาดประเมินว่าจะเห็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากการผนึกกำลังกับ SCC และผลกระทบที่จำกัดต่อการดำเนินงานจากโควิด-19 เพราะ TEAMG ดำเนินธุรกิจในฐานะที่เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการก่อสร้าง

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ TEAMG ด้วยราคาเป้าหมายสูงขึ้น 4.9% จาก 3.47 บาท เป็น 3.64 บาท โดยการปรับประมาณการกำไร และราคาเป้าหมายใหม่ของทางฝ่ายวิจัยประกอบด้วยมูลค่าธุรกิจของ TEAMG อยู่ที่ 3.12 บาท และการผนึกกำลังกับ SCC อยู่ที่ 0.52 บาท ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อคำแนะนำของทางฝ่ายวิจัยได้แก่ การเปลี่ยน Backlog เป็นรายได้ที่เร็วขึ้น รวมถึงการผนึกกำลังกับ SCC และโครงการขนาดใหญ่ที่กำลังจะมีการประมูล

Back to top button