รับดีมานด์ “สังคมสูงวัย” HL ลุยขายยาเพิ่ม 14 สาขา ปั้นรายได้ปีนี้ 20%

HL ปักธงรายได้ปีนี้โต 20% กางแผนขยายเพิ่ม 14 สาขา รับสังคมสูงวัย


ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือ HL พร้อมด้วย ภก.ศุภกร พันธุกานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และนางอารยา ตันธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 3 มีนาคม 2566 ว่า ในปี 2565 HL ได้เดินหน้าขยายสาขาร้านขายยาจำนวน 11 สาขา ภายใต้ครอบคลุมทุกเขตของกรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่ HL มีความเชี่ยวชาญ ภายใต้แบรนด์ ICare,  Pharmax, Super Dug และ Vitaminclub ทำให้ปัจจุบัน HL มีร้านขายรวมทั้งสิ้น 36 สาขา ในจำนวนนี้มีการทดลองเปิดร้านขายยาในปั้มน้ำมันจำนวน 3 สาขา รวมถึงร้านขายยา ICare ในพื้นที่ Box Space Ratchayothin ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

ภก.ธัชพล ยังระบุว่า ธุรกิจยาถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง โดยมูลค่าตลาดร้านขายยาทั้งระบบที่มีอยู่ประมาณ 21% ของธุรกิจยาในไทยคิดเป็น 3.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปี 2566 ธุรกิจร้านขายยาจะถูกกำกับด้วยวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมชุมชน (Good pharmacy practice หรือ GPP) หลังการผ่อนผันสิ้นสุดลง ซึ่ง GPP ได้กำหนดร้านขายยาต้องมีเภสัชกรประจำร้านขายยาตลอดทั้งวัน และจะต้องเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ในการส่งมอบยาให้กับลูกค้าเท่านั้น รวมถึงพื้นที่ร้านขายยาที่จะต้องมีความเหมาะสม และมีการควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งถือเป็นความได้เปรียบของ HL ทั้งในจำนวนบุคลากร และพื้นที่ร้านขายยาที่ดำเนินการตามกฎ GPP ไว้แล้ว โดยในปีนี้ตั้งเป้าจะเพิ่มร้านขายยาเพิ่มอีก 14 สาขา โดยมี 8 สาขาที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว และอีก 6 สาขาอยู่ระหว่างการขออนุญาต

นอกจากนี้การที่ประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้ธุรกิจร้านขายยา และเครื่องมือแพทย์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคนกลุ่มจะต้องใช้ยาที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ อาทิ โรคความดัน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ โดยคาดว่าปีนี้ HL จะมีรายได้ปีนี้เติบโตอย่างน้อย 20%

ด้านนางอารยา ให้ข้อมูลทางการเงินเพิ่มเติมว่า กำไรสุทธิของ HL ในปีที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2564 อยู่ที่ 6.55% มาอยู่ที่ 7.69% โดยยอดขายยา และเครื่องมือแพทย์ของ HL ในปีที่ผ่านมามีความต้องการของลูกค้าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงอัตรากำไรขึ้นต้นที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายในการบริหารในปีที่ผ่านมาลดลง นั้นเป็นเพราะยอดขายที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางค่าบริหารจัดการที่ยังคงที่

ด้านสัดส่วนหนี้สินต่อทุนยังอยู่ในระดับที่ต่ำ และปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 0.29 เท่าในปี 2564 เป็น 0.37 เท่าในปี 2565 ซึ่งเป็นผลมาจากสิทธิการเช่าที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขา แต่ ณ สิ้นปี 2565 กลุ่มบริษัทของ HL ไม่มีเงินกู้จากสถาบันการเงินแล้ว

อย่างไรก็ตาม ภก.ธัชพล ได้ชี้แจงกรณีที่ปี 2565 ได้ปิดสาขาร้านขายยาไป 1 สาขา เนื่องจากร้านขายยาในสาขานั้นได้หมดสัญญา โดยที่สัญญาเช่าใหม่ที่จะเกิดขึ้นได้ถูกปรับเพิ่มค้าเช่า ซึ่งมองแล้วอาจไม่คุ้มค่ากับการดำเนินการ ซึ่งเรื่องนี้ HL ได้ลดความเสี่ยงด้วยการจัดทำสัญญาเช่าร้านขายยาที่นานขึ้น รวมถึงเงื่อนไขในการเช่าร้านที่จะมีความรัดกุมมากขึ้น

Back to top button