BBL บวกต่อ 2% ขานรับงบ Q2 กำไร 1.12 หมื่นล้าน โต 62% โบรกชูเป้า 186 บาท

BBL บวกต่อ 2% ขานรับงบไตรมาส 2/66 กำไร 1.12 หมื่นล้านบาท ทะยาน 62% เทียบจากช่วงปีก่อน ดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ ด้วยรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น โบรกแนะ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 186 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 ก.ค. 66) ราคาหุ้น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ล่าสุด ณ เวลา 10:21 น. อยู่ที่ระดับ 166.50 บาท บวก 2.50 บาท หรือ 1.52% สูงสุดที่ระดับ 167.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 166.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.05 พันล้านบาท

สำหรับราคาหุ้น BBL ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องรับปัจจัยบวกจากผลประกอบการไตรมาส 2/66 เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งโดยมีกำไรสุทธิ 1.12 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 6.96 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า

ด้าน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กำไรสุทธิของ BBL ในไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 1.12 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น11% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 62% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ดีกว่าประมาณการของเรา/consensus ที่ 12%/11% เพราะกำไรจากการลงทุน (FVTPL) สูงเกินคาด แต่หากไม่รวมรายการนี้ กำไรในไตรมาส 2/66 จะสูงกว่าประมาณการของเรา 4%

ทั้งนี้ กำไรสุทธิในงวดครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 65% ของประมาณการเต็มปีของเรา

ขณะที่สินเชื่อรวมขยายตัว 2%  จากไตรมาสก่อน และ 0.6% จากต้นปีถึงปัจจุบัน เนื่องจากสินเชื่อระหว่างประเทศพุ่งสูงขึ้นถึง 10% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ในขณะที่สินเชื่อในประเทศยังคงอ่อนแอ และอยู่ในโหมดหดตัว

ส่วนในของ NIM โดยรวมขยับเพิ่มขึ้น 14bps จากไตรมาสก่อน และ 70bps เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยยีลด์จากการปล่อยกู้ในตลาดเงิน และการลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ยีลด์สินเชื่อเพิ่มขึ้นเพียง 10bps ซึ่งช้ากว่าต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น 20bps เราอาจจะกล่าวได้ว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ NIM ดีขึ้นคือโครงสร้างสินทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป

ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมลดลงประมาณ 8% จากไตรมาสก่อน และ 2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนลดลง อย่างไรก็ตาม ธนาคารบันทึกกำไรจากการลงทุนก้อนใหญ่ถึง 3.3 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่าไตรมาสก่อนกว่าเท่าตัว ทั้งนี้ ธนาคารได้นำกำไรพิเศษจากการลงทุนบางส่วนมาลงในเงินลงทุนระบบ และค่าใช้จ่ายด้านการตลาด ทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเร่งตัวขึ้น

ด้านคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น โดยตัวเลข NPLs ลดลง 5% จากไตรมาสก่อน และ 11% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนในขณะเดียวกัน สำรองที่ตั้งเพิ่มในไตรมาสนี้ทำให้สัดส่วน NPL coverage เพิ่มขึ้นเป็น 285% (จาก 265% ในไตรมาสก่อน) เนื่องจากกำไรสุทธิในครึ่งแรกของปี 66 คิดเป็น 65% ของประมาณการกำไรเต็มปี ดังนั้น มองว่าประมาณการกำไรยังมี upside อีก ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ประเมินราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 186 บาท

ขณะที่ บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า BBL ประกาศกำไรไตรมาส 2/66 ที่ 11,294 ล้านบาท ดีขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน และ 62% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าราว 12% โดยทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโตได้ดีกว่าคาด ในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโต 5% จากไตรมาสก่อน และ 34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน เนื่องจากสินเชื่อเติบโตได้ดีราว 2% จากไตรมาสก่อน อีกทั้ง NIM ยังปรับตัวขึ้น 12 bps ตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น

ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวดีขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน และ 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะอ่อนตัวลงจากธุรกิจหลักทรัพย์ตามภาวะตลาดทุน แต่กำไรจากเงินลงทุนปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยหนุน ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน โดยส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายทางการตลาด ทำให้ C/I Ratio เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 47% ด้านสัดส่วน NPL ปรับตัวลดลงเหลือ 2.81% จาก 3.04% ในไตรมาส 1/66  ซึ่งการลดลงที่ค่อนข้างมากนี้ เราคาดว่าเป็นผลจากการ Write-off NPL ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ยังปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน จากนโยบายการตั้งสำรองที่ยังคงหลักระมัดระวังเพื่อรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจในอนาคต ทำให้สัดส่วน NPL Coverage Ratio เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 287% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในกลุ่มฯ

ภาพรวมทั้งปียังโตดีจาก NIM ที่สูงขึ้น ยังคงประมาณการกำไรปี 66 ที่ 36,571 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน) โดยกำไรงวดครึ่งแรกของปี 66 คิดเป็นราว 59% ของประมาณการทั้งปี สำหรับในงวดที่เหลือของปีจะยังเห็น NIM เป็นปัจจัยหนุนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในการประชุม กนง. เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ยังมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในเดือน ส.ค. ทำให้แนวโน้มกำไรในไตรมาส 3/66 ยังดีขึ้นต่อเนื่อง แต่อาจเห็นกำไรอ่อนตัวในไตรมาส 4/66 จากค่าใช้จ่ายปลายปีตามฤดูกาล

ทั้งนี้ราคาหุ้นยังค่อนข้าง Laggard คงคำแนะนำ “ซื้อ” คงเป้าหมายปี 66 ที่ 181 บาท อิง PBV 0.66 เท่า โดยราคาหุ้นปัจจุบันที่ยังซื้อขายที่ระดับ PBV 0.6 เท่า ถือว่ายังค่อนข้าง Laggard กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ เมื่อพิจารณาในด้านความแข็งแกร่งสำรองส่วนเกิน

Back to top button