
“แพทองธาร” โต้รายงาน “มูดี้ส์” ขอเชื่อมั่นรัฐบาล ผ่านมรสุมเศรษฐกิจปีนี้ได้
นายกฯ ชี้รายงานมูดี้ส์ เป็นเพียงมุมมองไม่ใช่การลดอันดับเครดิต – พร้อมเร่งมาตรการดึงเงินลงทุนใหม่ หวังผลักดัน GDP โตต่อเนื่อง
วันนี้ (30 เม.ย.68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ภารกิจพลิกฟื้นเศรษฐกิจ : Mission Thailand” ในงาน TNN DINNER TALK ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย เขตปทุมวัน
นางสาวแพทองธาร กล่าวตอนหนึ่งถึงกรณีบริษัท มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s) ปรับลดมุมมอง ต่อประเทศไทย เปลี่ยนสถานะจาก “Stable” มาเป็น “Negative” ว่า อันนี้ไม่ใช่การให้คะแนนหรือการให้เรตติ้ง แต่เป็น Outlook หรือมุมมองของมูดี้ส์ว่าถ้าเกิดปัญหาแบบนี้เศรษฐกิจแบบนี้ ประเทศไทย จาก “Stable” ให้ “Negative” คือการเติบโตหรือศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นลดน้อยลงอยู่ใน “Negative” แต่ไม่ได้แปลว่า ประเทศไทยขาดความเชื่อมั่นแล้ว ซึ่งปัจจัยในการวัด คือ กำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นสิ่งนี้เกิดขึ้นกับทั่วโลก
พร้อมยกตัวอย่างว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมี Outlook ของประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา, จอร์เจีย และโรมาเนีย ก็เป็นมุมมอง “Negative” เช่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งปัจจัยนี้ถ้าใครถูกมองโดยที่ยังไม่มีคำตอบเรื่องภาษี Tariffs ก็จะเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่จะทำให้มุมมองนั้นปรับเปลี่ยนไปเป็น Negative
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ทางกระทรวงการคลังและรัฐบาลเฝ้าดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดว่า ในมุมที่มูดี้ส์เป็นห่วงคืออะไร? เพราะจริง ๆ การปรับ Outlook จาก “Stable” เป็น “Negative มีสิทธิ์ที่จะทำให้เรตติ้งเป็น “Negative” ได้เช่นกัน และต้องเตือนว่า เมื่อปี พ.ศ. 2551 ประเทศไทย ก็เคยถูกปรับจาก “Stable” เป็น “Negative” มาแล้ว และก็กลับมาเป็น “Stable” ได้
ซึ่งสิ่งที่มูดี้ส์มอง คือ เศรษฐกิจอ่อนแอหรือไม่ ศักยภาพในการเติบโตมีมากน้อยแค่ไหน และก็มองว่า เมื่อมีเรื่องกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ทำให้ปั่นป่วนนโยบายมากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้คือภาระหนี้ต่อเนื่อง รวมถึงความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนนโยบายของประเทศหรือไม่
“แล้วรัฐบาลควรทำอย่างไร อย่างแรกเลยค่ะเราก็ต้องไม่ทำให้เขากังวลในสิ่งที่เขากังวลอยู่ แล้วก็ต้องมีการเตรียมการทางเศรษฐกิจให้ผ่านมรสุมจาก Tariffs ของประธานาธิบดีทรัมป์ได้… ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมในอนาคตที่เราลงทุนไปแล้ว… รับคนลงทุนเข้ามาแล้วไม่ว่าจะเป็น ในเรื่องของดาต้าเซนเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ หรืออย่างเช่น กูเกิ้ลมาลงทุน เม็ดเงินเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจเราขับเคลื่อนและเติบโตขึ้นได้” นางสาวแพทองธาร ระบุ
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงเป้าหมายการเติบโตของ GDP ว่า ต้องเติบโตต่อเนื่อง 3-4% ไม่ใช่แค่ปีใดปีหนึ่ง พร้อมระบุว่ารัฐบาลกำลังเร่งผลักดันการลงทุนใหม่ ๆ อย่างจริงจัง และที่ต้องทำต่อคือการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการลงทุนต่าง ๆ รัฐบาลกำลังทำอย่างเต็มรูปแบบ นอกจากนั้นภาครัฐเองก็มีการเร่งลงทุนเช่นกัน โดยเฉพาะงบประมาณประจำปีที่เมื่ออนุมัติแล้วจะต้องเร่งนำเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ถึง 72% มากที่สุดในรอบ 10 ปี รัฐบาลทำเต็มที่ และได้ผลดีมาก ๆ ในทุกกระทรวง ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังเน้นเรื่องการสนับสนุน R&D การศึกษา และการพัฒนาทักษะแรงงาน รวมถึงการต่อยอดผลิตภัณฑ์ในภาคประมงและเกษตรกรรม พร้อมยืนยันจะทำให้มูดี้ส์มองศักยภาพของไทยเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง
นางสาวแพทองธาร กล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ถูกมองว่าเติบโตช้า GDP ทั้งปีอยู่ที่ 2.5% แต่ไตรมาสสุดท้ายตัวเลขขยับขึ้นเป็น 3.2% แสดงว่าการเร่งเครื่องทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเกิดผล ดังนั้นต้องผลักดันต่อเนื่องไป แม้ว่าปีนี้จะมีอุปสรรคผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแผ่นดินไหว และกำแพงภาษี แต่รัฐบาลก็หาทางออกและพยายามคุยกับทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน เอกชน เพื่อหาคำตอบที่เป็นประโยชน์