
“ดาวโจนส์” ปิดบวก 1,160 จุด! Nasdaq พุ่ง 4% ขานรับสหรัฐ-จีน บรรลุข้อตกลงการค้า 90 วัน
ตลาดวอลล์สตรีทดีดแรง! “ดาวโจนส์” ปิดบวก 1,160 จุด, ดัชนี S&P 500 บวก 3% รวมถึง Nasdaq พุ่ง 4% รับข้อตกลงลดภาษีศุลกากรสหรัฐฯ-จีน จุดประกายความหวังเศรษฐกิจโลก ช่วงสองมหาอำนาจพักรบ 90 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (12 พ.ค. 68) ปิดตลาดในแดนบวกอย่างแข็งแกร่ง หลังสหรัฐอเมริกาและจีนบรรลุข้อตกลงลดภาษีศุลกากรตอบโต้ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน ภายหลังการเจรจาระดับเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจอย่างเป็นทางการครั้งแรก ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั่วโลก และจุดประกายความหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ดัชนีหลักทั้ง 3 ตัวของวอลล์สตรีททะยานขึ้นอย่างร้อนแรง โดยเฉพาะ Nasdaq ที่พุ่งกว่า 4% รับแรงซื้อในหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ สำหรับดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (.DJI) ปิดที่ 42,410.10 จุด เพิ่มขึ้น 1,160.72 จุด หรือ +2.81% , ดัชนี S&P 500 (.SPX) ปิดที่ 5,844.19 จุด เพิ่มขึ้น 184.28 จุด หรือ +3.26% และ ดัชนี Nasdaq Composite (.IXIC) ปิดที่ 18,708.34 จุด เพิ่มขึ้น 779.43 จุด หรือ 4.35%
โดยแน่นอนว่าปัจจัยขับเคลื่อนตลาดที่สำคัญ คือ ข้อตกลง “สหรัฐฯ-จีน” ลดภาษีต่อกัน โดยทั้งสองประเทศเห็นพ้องลดภาษีนำเข้าระหว่างกัน สหรัฐฯ ลดภาษีสินค้าจีนจาก 145% เหลือ 30% และจีนตอบโต้ด้วยการลดภาษีสินค้าสหรัฐฯ จาก 125% เหลือ 10% มีผลใช้บังคับเป็นเวลา 90 วัน นับเป็นความคืบหน้าเชิงบวก หลังจากความตึงเครียดทางการค้ายืดเยื้อยาวนานหลายเดือน
การลดภาษีสินค้าดิจิทัลและอุปกรณ์เทคโนโลยีส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยี พุ่งแรงต่อเนื่อง นำโดย Amazon (AMZN) ปิดที่ 208.64 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +8.07%, Apple (AAPL) ปิดที่ 210.79 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +6.18%, Tesla (TSLA) ปิดที่ 318.38 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +6.75% และ Nvidia (NVDA) ปิดที่ 122.59 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +5.09%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังแห่เข้าซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและยานยนต์ เช่น Ford และ GM ซึ่งจะได้อานิสงส์จากต้นทุนการผลิตที่ลดลง และการเปิดตลาดส่งออกที่สดใสขึ้น
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองว่า ข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็น “จุดพักรบ” ที่มีนัยสำคัญ อาจช่วยบรรเทาภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก หนุนให้การค้าโลกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิตและเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม มีการเตือนจากผู้เชี่ยวชาญบางส่วนว่า นี่เป็นเพียงข้อตกลงชั่วคราว ความไม่แน่นอนยังคงอยู่ และนักลงทุนควรจับตาการเจรจารอบถัดไปอย่างใกล้ชิด