
เปิดโผ 46 บจ. กำไรไตรมาส 1 โตแรงเกิน 100% ชู TASCO ฟาดหนัก 55 เท่าตัว
เปิดรายชื่อ 46 บจ. โชว์กำไรไตรมาส 1/68 โตแรงเกิน 100% นำทีมเด่น TASCO, GYT, PYLON, TFG,BKD, CNT, ICC, ASIA, CPF จับตาผลงานทั้งปีเติบโตแกร่ง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/68 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ประกาศออกมาโชว์กำไรสุทธิเติบโตเกิน 100% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยผลปรากฏว่ามีจำนวน 46 บริษัท กวาดกำไรสุทธิเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 100% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน
ขณะเดียวกันเมื่อเจาะลึกไปอีกพบ 9 บริษัท กวาดกำไรได้แข็งแกร่ง ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อนเกิน 600% ได้แก่ TASCO, GYT, PYLON, TFG,BKD, CNT, ICC, ASIA, CPF ซึ่งมีรายละเอียดสนับสนุนผลการดำเนินงานดังนี้
บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 444.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,541.56% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 7.88 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เกิดจากยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้นของกลุ่มธุรกิจยางมะตอย
โดยธุรกิจยางมะตอนมีรายได้จากการขายและบริการจำนวน 6,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.35 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน โดยมีสาเหตุมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของตลาดในประเทศไทยสำหรับขายในตลาดต่างประเทศมีปริมาณลดลงในบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เวียดนำม จีน เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วโดยกลุ่มบริษัทฯยังคงใช้กลยุทธ์การขายแบบเลือกตลาดอย่างต่อเนื่อง
บริษัท กู๊ดเยียร์(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ GYT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 96.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,951.04% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4.72 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขานรายจำนวน 1,791 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วง เดียวกันของปี 2567 เป็นจำนวน 148 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 9.0
บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 18.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,433.39 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1.19 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการรับจ้างงานก่อสร้างเท่ากับ 298,73 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 93.50 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.56
บล.ฟินันเซีย ไซรัส คงประมาณการทำไรสทธิปี 2567 ที่ 68 ล้านบาท พื้นตัวจากปี 2567 ที่ 5.5 ล้านบาท คงคำแนะนำชื้อราคาเหมาะสม 2.40 บาท จากภาพผลประกอบการปีนี้ที่ Turnaround บน Backlog ที่อยู่ระดับสูง อีกทั้งมีโอกาสได้รับงานใหม่เพิ่มจากภาครัฐมีการผลักตันการลงทุนโครงสรัางพื้นฐาน อาทิ งานทางด่วนมอเตอร์วย์ รถไฟฟ้า ขณะที่ Valuation โซนต่ำ ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดบน PBV 1.4 เท่า
บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 2,036.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,072.44 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 173.71 ล้านบาท
ด้านนายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ TFG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 17,852.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,586.62 ล้านบาท หรือ 16.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิสูงถึง 2,036.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,862.91 ล้านบาท หรือ 1,072.43% ซึ่งเป็นระดับกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท (High Record)
โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตอย่างโดดเด่นในไตรมาสนี้ ได้แก่ ราคาสุกรในเวียดนามที่ปรับตัวขึ้นสูง ปริมาณการผลิตสุกรเพิ่มขึ้น ราคาสุกรและไก่ในประเทศไทยอยู่ในระดับที่ดี รวมถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของร้านค้าปลีก ขณะเดียวกัน บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยกลยุทธ์การจัดซื้อและควบคุมสินค้าคงคลัง รวมถึงการควบคุมต้นทุนด้านขนส่งได้ดี
สำหรับธุรกิจค้าปลีก ภายใต้แบรนด์ “ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต” ซึ่งถือเป็นธุรกิจ Flagship สำคัญที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน มีรายได้จากช่องทางค้าปลีกในไตรมาส 1/2568 จำนวน 6,195.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 430 สาขา ณ สิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ เทียบกับ 401 สาขา ณ สิ้นปี 2567
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการไตรมาสแรกในอัตราหุ้นละ 0.075 บาท โดยกำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 และจ่ายปันผลในวันที่ 11 มิถุนายน 2568
นายเพชร ยังระบุเพิ่มเติมว่า บริษัทมีแผนขยายจำนวนสาขา “ไทยฟู้ดส์ เฟรซ มาร์เก็ต” ให้ครบ 600 สาขาภายในปี 2568 ตามแผนงานที่วางไว้ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค เพิ่มมาร์จิ้นให้กับธุรกิจ และสนับสนุนผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว พร้อมสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง
บางกอก เดค-คอน จำกัด (มหาชน) หรือ BKD รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 47.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 976.07% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4.40 ล้านบาท
ด้านนางนุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท BKD หนึ่งในผู้นำดำเนินธุรกิจรับเหมาตกแต่งภายใน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุด 31 มีนาคม 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 47.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 976.07% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่มีกำไร 4.40 ล้านบาท
โดยมีรายได้จากการให้บริการและการขายในไตรมาสแรกปีนี้ จำนวน 176.7 ล้านบาท หรือลดลง 16% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่ระดับ 209.43 ล้านบาท เนื่องจากโครงการเกิดการชะลองานจากการเปลี่ยนแปลงแบบและการส่งมอบพื้นที่ ขณะที่ต้นทุนการให้บริการก็ลดลงค่อนข้างมากเช่นกัน เหลือเพียง 114.60 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน จำนวน 182.66 ล้านบาท หรือลดลง 37.26% ส่งผลให้กำไรขั้นต้น อยู่ที่ 61.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ที่มีจำนวน 26.45 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในไตรมาสนี้ มีการโอนกลับผลขาดทุนด้านเครดิต ซึ่งเกิดจากการกลับรายการประมาณการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ โดยได้รับการชำระเงินจาก บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นลูกหนี้การค้า จำนวน 11.81 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัท มีรายได้อื่น จำนวน 1.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.25% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีกำไรจากการขายหน่วยลงทุนจึงส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทจึงมีการเติบโตของกำไรในระดับที่สูง ซึ่งเกินกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้
นางนุชนารถ กล่าวต่อว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งบริษัทจะดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง มีการขยายฐานลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยจะให้ความสำคัญในการเลือกลูกค้าที่มีคุณภาพ มีธรรมาภิบาล และมุ่งเน้นรับงาน พรีเมี่ยม ที่ผู้รับเหมารายอื่นไม่ต้องการทำ เนื่องจากมีความยาก ขณะที่ BKD เชื่อมั่นว่าบริษัทมีความชำนาญและระบบการทำงานมีประสิทธิภาพ สามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมายและตอบโจทย์ลูกค้าได้
บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CNT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 32.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 906.22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3.25 ล้านบาท โดยเป็นผลมารายได้งานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจำนวน 497.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 40.1 จากจำนวน 1,240.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2567 การเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ที่บริษัทฯ ได้รับในช่วงกลางปี 2567 ซึ่งการรับรู้รายได้ในใครมาส 1 ปี 2568 ของโครงการดังกล่าวมีมูลค่างานที่รับรู้สูงกว่าโครงการในไตรมาส 1 ปี 2567 ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและอยู่ในช่วงท้ายของโครงการ
บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ ICC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 607.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 832.63 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 65.14 ล้านบาท โดยกำไรเพื่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากต้นทุนขายและการให้บริหารอยู่ที่ 1,480 ล้านบาท ลดลง 17% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,534 ล้านบาท
บริษัท เอเชียโฮเต็ล จำกัด (มหาชน) หรือ ASIA รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิ 14.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 813.98% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1.64 ล้านบาท
ด้านนายพัชรพล เตชะหรูวิจิตร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ASIA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2568 มีรายได้รวม 342.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.62 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันมีก่อนที่มีรายได้ 316.06 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 14.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 814% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.63 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากบริษัทฯมีรายได้จากธุรกิจโรงแรม 235.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากธุรกิจโรงแรม 208.79 ล้านบาท เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานของในช่วงไตรมาส 2/2568 คาดว่าจะยังคงอยู่ในทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเทศกาลของประเทศไทยที่นักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสนใจเดินทางมาเข้ามาร่วมกันอย่างคึกคัก ส่งผลให้ปริมาณการจองห้องพักในโรงแรมเอเชียกรุงเทพ โรงแรมเอเชียพัทยา และโรงแรมในเครือที่จังหวัดเชียงใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อีกทั้งยังได้เปิดให้บริการห้องอาหารบราซิลเลียน Rio Grill และห้องอาหาร Amber และร่วมมือกับพันธมิตรร้านอาหารชื่อดัง อาทิ Fishmonger, The Chopsticks, Ozawa Ramen, Monty’s และร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เพื่อเข้ามาให้บริการในพื้นที่ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ของโรงแรม ซึ่งนับเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มช่องทางสร้างรายได้จากการให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ จึงคาดว่าผลงานปีนี้จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง
นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ปรับปรุงขยายพื้นที่จัดกิจกรรมการแข่งขันหุ่นยนต์ภายในบริเวณศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต เพื่อรองรับความสนใจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของกลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษา รวมถึงผู้ที่หลงใหลในเทคโนโลยีและนวัตกรรมหุ่นยนต์ โดยพื้นที่ดังกล่าวจะรองรับทั้งการแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยและมาตรฐานด้านความปลอดภัย เพื่อผลักดันให้ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต เป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรมการแข่งขันหุ่นยนต์ในประเทศไทย
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/68มีกำไร 8,549 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 642.10% เนื่องจากความสามารถในการปรับตัวต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ และความเคร่งครัดของระบบป้องกันโรคในฟาร์มที่เข้มงวด ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาชีวอนามัยท่ามกลางโรคระบาด สะท้อนศักยภาพผู้นำเกษตรอาหารที่ให้ความสำคัญด้านประสิทธิภาพ
ด้านนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF กล่าวว่า การที่บริษัทมีผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปีนี้ดีเด่นขึ้น มาจากการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ประกอบกับการระบาดของโรคสัตว์โดยเฉพาะไข้หวัดนกซึ่งกระจายไปหลายประเทศทั่วโลก และโรค ASF ของสุกรที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ มีผลทำให้จำนวนไก่และสุกรมีน้อยกว่าปกติ ตลอดจนราคาวัตถุดิบอยู่ในฐานที่ยังไม่สูงเกินไป ทำให้ผลการดำเนินงานดีกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ซีพีเอฟลงทุนไว้มากกว่า 10 ประเทศ
โดยผลประกอบการที่โดดเด่นในไตรมาสแรกปีนี้ เป็นบทพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของทีมงานทั่วโลกและความสามารถในการปรับตัวอย่างยั่งยืนในทุกสภาพแวดล้อม การลงทุนของบริษัทที่เน้นเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยี ตลอดจนการนำระบบ IT ที่นำมาใช้ในเรื่องการบริหารจัดการ รวมทั้งความมุ่งมั่นในการยกระดับความปลอดภัยทางชีวภาพและการป้องกันโรคในการเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรตลอดห่วงโซ่อุปทาน บริษัทจึงสามารถรักษาเสถียรภาพในการผลิตและสร้างความมั่นใจในคุณภาพสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง
นายประสิทธิ์ กล่าวเสริมว่า ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมาด้วยปัจจัยต่างๆ ที่บริษัทได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และอุตสาหกรรมมีการปรับสมดุลจากความท้าทายในอดีต ในส่วนของปัญหาความปั่นป่วนจากเรื่องภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ได้มีผลกระทบกับซีพีเอฟ เพราะซีพีเอฟมีการลงทุนในธุรกิจอาหารพื้นฐานที่ราคาไม่แพง มีการผลิตอยู่ในกว่า 10 ประเทศและขายในประเทศนั้นเป็นหลัก ขณะที่บริษัทพึ่งพาการส่งออกประมาณ 4-5% โดยการส่งออกส่วนใหญ่ส่งไปยังประเทศในเอเซีย เช่น ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศยุโรปเป็นหลัก มีการส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 0.3% เท่านั้น
ทั้งนี้ จากภาวะโรคระบาดที่เกิดขึ้นในการเลี้ยงสัตว์ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงโควิดที่กลับมาในช่วงนี้ ผู้บริหารทุกคนได้ให้ความสำคัญด้านการบริหารงานภายใต้แนวทางการบริหารความเสี่ยงรอบด้าน ลงทุนในธุรกิจที่มีแนวโน้มที่ดีที่ชัดเจน และที่สำคัญได้ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการผลิต การป้องกันโรคระบาดตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาชีวอนามัยในการดำเนินงานอย่างครอบคลุม