
“พิชัย” ชี้เศรษฐกิจไทยมีทางออก เร่งโครงสร้างใหม่ ครอบคลุมตลาดทุน-EV-ดิจิทัล-โลจิสติกส์
รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ย้ำ “ไม่มีอะไรที่สิ้นหวัง” แม้ตลาดหุ้นจะผันผวน แต่กระแสเงินทุนยังไหลเข้าไทย พร้อมเปิดมุมมองเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจในทุกมิติ ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม EV ดิจิทัล พลังงาน โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Thailand’s Capital Market Forum 2025 หัวข้อ อนาคตเศรษฐกิจไทย ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ ในวันนี้ (17 พ.ค.68) ว่า ที่กล่าวถึงตลาดหุ้นไทยว่าหรือวันนี้จะสิ้นหวังแล้ว? แต่ตนมองว่า “ไม่มีอะไรที่สิ้นหวัง” หากดูย้อนหลังไป 50 ปีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เคยตกจาก 1,700-1,800 จุด เหลือแค่ 200-300 จุด ซึ่งเมื่อตกลงมา 2-3 ครั้ง ตกลงก็จะขึ้นได้ ถ้าตราบใด Capital Market (ตลาดทุน) ยังเป็นสิ่งจำเป็นของการดูแลเศรษฐกิจอยู่ แปลว่าทุกอย่างมีทางแก้ไขเสมอ
นายพิชัย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นดัชนีแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,100-1,200 จุด และนับตั้งแต่ต้นปีปรับตัวลงค่อนข้างมาก แต่หากพิจารณาตั้งแต่วาระที่สองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเห็นได้ว่า ตลาดทุนไทยปรับตัวลงน้อยกว่าหลายประเทศ ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ ตลาดเงินและตลาดทุนของไทยจะมีเงินไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเงินบาทแข็งค่าชั่วคราว แปลว่าคนเชื่อใจประเทศไทยสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนว่าไทยสามารถจ่ายคืนได้แน่นอน นักลงทุนพร้อมถอนเงินออกหรือลงทุนต่อดังนั้นคำถามที่น่าคิดอนาคตของตลาดทุนไทยจะขึ้นอยู่กับอนาคตของเศรษฐกิจไทย
รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เผยมุมมองไล่เรียงมิติของภาคส่วนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจไทยว่า โครงสร้างการผลิตยังไม่สามารถปรับตัวได้ทัน และมีการขยายตัวในอัตราที่ลดลง โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม ซึ่งครอบคลุมกว่า 80% ของพื้นที่ประเทศ แต่ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ทำให้ประชาชนในภาคส่วนนี้ไม่มีกำลังซื้อ
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะด้านการผลิตรถยนต์ ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักที่มีฐานการผลิตมายาวนานกว่า 65-70 ปี แต่วันนี้จีนเข้ามาพร้อมอุตสาหกรรม EV จึงต้องมีนโยบายให้หุ้นกับคนไทย รถยนต์รุ่นเก่ายังไม่หมดอนาคต ควรพัฒนาเป็นไฮบริด และรักษาบริษัทผู้ผลิตเดิมกว่า 60 แห่งให้อยู่รอดให้ได้ เพราะการลงทุนจะต้องทำทั้งของเก่าและของใหม่ควบคู่กันไป
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า ดิจิทัลจะเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมีการใช้พลังงานไฟฟ้าสูง ประเทศไทยมีพื้นที่กว่า 300 ล้านไร่ และไฟฟ้าสำรองกว่า 9,000-10,000 เมกะวัตต์ เขาจึงเลือกไทย แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องสามารถจัดหาไฟฟ้าสีเขียว ได้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ นายพิชัย กล่าวว่า ปัจจุบันไทยยังอยู่เพียงระดับ “กลางน้ำ” จึงควรเร่งดึงการวิจัยและการผลิตต้นน้ำเข้ามาให้ได้ โดยเฉพาะจากประเทศสหรัฐฯ ซึ่งแม้จะมีบางช่วงที่ต้องสะดุด แต่รัฐบาลต้องปรับแผนการใช้เงินให้เหมาะสม และเดินหน้าต่อเนื่อง
ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางรัฐบาลได้ดำเนินโครงการรถไฟทางคู่ไปแล้วเกือบ 1,000 กิโลเมตร และตั้งเป้าขยายเพิ่มเป็น 2,000 กิโลเมตรในเฟสที่สอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการขนส่ง โดยมองว่าไทยกำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาค รวมถึงการพัฒนาแลนด์บริดจ์จากกรุงเทพฯ สู่ระนอง
สำหรับพลังงานและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลมีเป้าหมายให้ประเทศไทยลดการปล่อยคาร์บอนลง 30-40% ภายใน 5–10 ปี หากไม่สามารถดำเนินการได้ จะต้องมีการชำระค่าธรรมเนียมความต่าง โดยคาดว่าจะมีตลาดคาร์บอนเครดิตเกิดขึ้นจริงภายใน 10 ปี ซึ่งจะสามารถจดทะเบียนและซื้อขายได้
ในส่วนการท่องเที่ยว นายพิชัย เห็นว่า ควรปรับจุดหมายปลายทาง (Destination) ใหม่ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากประเทศจีน ที่เปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้จ่ายสูง มาเป็นเน้นการบริโภคท้องถิ่น และใช้เงินน้อยลง พร้อมกันนี้ยังเสนอให้เปิดทางด้านวีซ่าสำหรับบุคลากรที่มีศักยภาพ คนเก่งควรได้วีซ่าระยะยาว 10 ปี เพื่อดึงดูดให้เข้ามาทำงานและใช้ชีวิตในไทย หากเศรษฐกิจฟื้นตัวเมื่อใด อัตราการย้ายถิ่นฐานของคนไทยจะลดลงเอง
“ทุกครั้งที่เศรษฐกิจไม่ดี จะมีคนบ่น… แต่อย่าบ่นเลย ถ้าคิดออก คิดในเชิงสร้างสรรค์ ก็จะดี” รองนายกฯ และ รมว.คลัง
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ ที่นายพิชัยกล่าวถึง คือข้อเสนอด้านสิทธิการใช้ที่ดินของต่างชาติ โดยเสนอให้ต่างชาติสามารถเช่าที่ดินระยะยาวได้ถึง 99 ปี ผ่านระบบที่สิทธิการใช้ถูกโอนให้รัฐถือไว้ก่อน เพื่อป้องกันการถือครองผ่านนอมินี
“เรื่องการเช่าที่ดินเกิดขึ้นทั่วโลก หากต่างชาติอยากลงทุนแต่ติดข้อจำกัด ควรอนุญาตให้โอนสิทธิการใช้ให้รัฐก่อน แล้วออกโฉนดการใช้สิทธิได้ คนเช่าสามารถนำไปกู้ธนาคารได้ พอครบ 99 ปี ที่ดินจะกลับมาเป็นของรัฐ ไม่ต้องหาตัวแทนปลอม สมบัติของชาติก็ไม่หาย และยังสามารถจัดตั้ง Property Fund ได้ในรูปแบบที่ปลอดภัย” พร้อมย้ำว่า หากกำหนดเงื่อนไขที่เหมาะสม ไทยจะสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในโครงการขนาดใหญ่ เช่น เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายพิชัย กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า อนาคตตลาดทุนจะดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการลงทุนที่ถูกต้องและการแก้ปัญหาที่ถูกจุด เพื่อจะทำให้การลงทุนไหลลื่น เกิดการผลิต เกิดการจ้างงานที่มีขีดความสามารถให้การแข่งขัน และสามารถบริโภคและส่งออกได้ นั่นคือเป้าหมายที่ต้องการ ดังนั้นเมื่อเราเดินทิศทางนี้มีความเข้าใจและการสนับสนุน การทำงานในแนวทางนี้ไม่ว่าใครมาทำงานแล้วมีความเข้าใจ ให้เสริมตรงกับจุดแข็งและแก้จุดอ่อนของประเทศไทย ก็จะเป็นทางรอดของเศรษฐกิจ เมื่อเป็นทางรอดของเศรษฐกิจ ก็เป็นโอกาสของตลาดทุน เมื่อเป็นโอกาสของตลาดทุนก็เป็นโอกาสของนักลงทุน