STECON ปักหมุดรายได้ปี 68 โต 10% ตุนแบ็กล็อก 1.25 แสนล้าน เร่งเครื่องดิจิทัล-กรีนบิลดิ้ง

STECON รักษาเป้ารายได้ปี 68 โต 5–10% หนุนด้วยแบ็กล็อกแน่น 1.25 แสนล้าน ลุยโครงการดาต้าเซ็นเตอร์-อาคารสีเขียว เปิดเกมรุกสร้างโอกาสเติบโตระยะยาว


นายศิว์วิศว์ อนันตกุล หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON เปิดเผยภาพรวมธุรกิจนำเสนอข้อมูลในงาน Opportunity Day ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจก่อสร้างในปี 2568 อยู่ที่ 32,000 ล้านบาท โดยคงเป้าการเติบโตไว้ที่ 5-10% จากช่วงปีก่อน พร้อมตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin: GPM) ไว้ที่ 7% ตลอดทั้งปี ซึ่งในไตรมาส 1/2568 บริษัทสามารถทำได้เกินเป้าหมายดังกล่าว

ขณะเดียวกัน บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ประมาณ 125,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารับงานใหม่ (New Order) ตลอดทั้งปี 2568 เพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกสามารถรับรู้งานใหม่แล้วเกือบ 16,000 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) คิดเป็นประมาณ 10-20% ของเป้าหมายทั้งปี พร้อมคาดว่ารายได้ในไตรมาส 2/2568 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า

นายศิว์วิศว์ กล่าวต่อว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาโครงการใหม่ในกลุ่มศูนย์ข้อมูล (Data Center) จำนวน 1-2 โครงการ และยังคงเดินหน้าผลักดันการดำเนินงานด้าน ESG อย่างเข้มข้น เพื่อรองรับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมในระดับสากลที่จะมีผลในอนาคต

สำหรับโครงการไฮไลต์ในไตรมาสแรก ได้แก่ “BTS Visionary Park” ซึ่งตั้งอยู่ในย่านจตุจักร เป็นอาคารประหยัดพลังงาน (Green Building) ที่บริษัทใช้เทคนิควิศวกรรมในการลดการใช้คอนกรีตลง 20-25% โดยไม่ลดทอนความแข็งแรงของโครงสร้าง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว โดยในเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา อาคารไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด

อีกหนึ่งโครงการสำคัญ คือ “Bangkok Mall” ของกลุ่มเดอะมอลล์ ย่านบางนา ซึ่งใช้แนวคิดดิจิทัลขับเคลื่อนในทุกขั้นตอนการก่อสร้าง ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งด้านการสั่งงาน การจัดการซัพพลายเชน และการวางแผนการใช้วัสดุ เช่น คอนกรีต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจของวิศวกรหน้างาน และลดต้นทุนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ

นายศิว์วิศว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโอกาสทางธุรกิจ มีโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลายรายการที่ได้รับอนุมัติแล้ว และบริษัทให้ความสนใจเข้าร่วมประมูล ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีแดง ส่วนต่อขยายช่วงธรรมศาสตร์-รังสิต มูลค่า 6,470 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดประมูลระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้, โครงการมอเตอร์เวย์ M5, M7 และ M9 รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟส 2 ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย มูลค่า 341,351 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีโครงการที่คาดว่าจะได้รับอนุมัติในช่วงครึ่งหลังของปี อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงจิระ-อุบลราชธานี และปากน้ำโพ-เด่นชัย รวมมูลค่า 100,387 ล้านบาท, รถไฟฟ้าสายสีแดง ส่วนต่อขยายไปยังศาลายา-ศิริราช-หัวหมาก มูลค่า 15,364 ล้านบาท, ทางด่วนช่วง N2 มูลค่า 16,960 ล้านบาท และทางด่วนกระทู้-ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต มูลค่า 17,811 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายเข้าร่วมประมูลในโครงการขนาดใหญ่ รวมมูลค่ากว่า 400,000 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิ (East Expansion) และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 บริษัทมีรายได้รวม 6,777.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 242.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.71% โดยหลักมาจากรายได้จากการก่อสร้าง 6,463.30 ล้านบาท โครงการที่สร้างรายได้หลัก ได้แก่ โครงการ Solar 7 มูลค่า 6,512 ล้านบาท โซน C ศูนย์ราชการ (Government Complex Zone C) โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (MRT) และโครงการก่อสร้างอื่น ๆ

รวมถึงรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ประมาณ 45 ล้านบาท โดยมาจาก 3 บริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท SNT ซึ่งดำเนินธุรกิจหล่อคอนกรีตสำเร็จรูป, บริษัท Visdom ให้บริการเช่าเครื่องจักร และบริษัท Mars Water Supply ซึ่งให้บริการด้านธุรกิจน้ำ โดย Mars Water Supply เริ่มรับรู้รายได้ประจำ (Recurring Income) ตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 และจะทยอยรับรู้ตลอดทั้งปี

ด้านผลประกอบการ บริษัทมีกำไรขั้นต้น จำนวน 497.14 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 345.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 331.73 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นการเติบโต 5.09%

Back to top button