SKIN ปิดฉากโรดโชว์ “กรุงเทพ” ลุยขายไอพีโอ 44 ล้านหุ้น เทรดตลาด mai

SKIN ผนึก APM-PST ปิดท้ายโรดโชว์ข้อมูลธุรกิจ นักลงทุนกรุงเทพฯ ชูจุดเด่น ผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ปัญหาผิว ภายใต้แบรนด์ Skinsista และ Dermie ก่อนขายไอพีโอ 44 ล้านหุ้น ระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai


ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จํากัด (มหาชน) หรือ SKIN เปิดเผยว่า บริษัทมีความพร้อมที่จะนำเสนอข้อมูลกับนักลงทุน หรือ โรดโชว์ เพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 44 ล้านหุ้น โดยที่ผ่านมาได้เดินสายโรดโชว์ไปแล้วกว่า 7 จังหวัด และได้ปิดท้ายโรดโชว์ที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ณ หอประชุมศาสตราจารย์ สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคาร B ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน SKIN กล่าวว่า จากการเดินสายโรดโชว์ 8 จังหวัด คือ ชลบุรี, นครสวรรค์, นครราชสีมา, ขอนแก่น, เชียงใหม่, สุราษฎร์ธานี, สงขลา อำเภอหาดใหญ่ และกรุงเทพมหานคร ในวันนี้ ได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนในทุกจังหวัด เนื่องจากศักยภาพและผลิตภัณฑ์ของ SKIN ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จากจุดจำหน่ายชั้นนำ อาทิ 7-11, Watsons, CJ MORE NINE BEAUTY, Beautrium และ Konvy

รวมถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับด้านคุณภาพอย่างกว้างขวาง และภาพรวมอุตสาหกรรมด้านผลิตภัณฑ์ความงามในประเทศไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความนิยมการเลือกใช้แบรนด์ไทยที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับแบรนด์นานาชาติ จึงมั่นใจว่า SKIN จะเป็นบริษัทที่มีโอกาสเติบโตสูง

ปัจจุบัน SKIN มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 72,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 144,000,000 หุ้น  มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนชำระแล้ว 50,000,000 บาท เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 44 ล้านหุ้น คิดเป็น 30.55% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายแล้วของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค

นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKIN กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้พัฒนา จ้างผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ไทยที่เข้าใจผู้บริโภคยุคใหม่ ภายใต้แบรนด์ Skinsista (สกินซิสต้า) และ Dermie (เดอร์มี่) ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่มีปัญหาผิว อาทิ สิว ริ้วรอย ผิวแพ้ง่าย และมีช่องทางจำหน่ายที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับกลุ่มลูกค้า

นอกจากนี้ ยังมีแผนมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์และครอบคลุมปัญหาผิวมากขึ้น โดยคำนึงถึงคุณภาพ รวมถึงตั้งเป้าขยายช่องทางการจำหน่ายในทุกช่องทางเพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ให้แก่ผู้บริโภคอีกด้วย

นายชาญวิทย์ กล่าวเสริมว่า ในช่วงประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมของผู้บริโภคในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยอายุเริ่มต้นของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 15-16 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เริ่มเข้าสู่มัธยมปลาย

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดกลุ่มนี้กำลังขยายตัวทั้งในแง่ของการใช้งานที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ใช้เดิม และการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ จึงส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมีมูลค่าสูงและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของ Euromonitor ในปี 2023 ระบุว่า มูลค่าตลาดสกินแคร์ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 130,000 ล้านบาท และเมื่อพิจารณาข้อมูลประกอบจากแหล่งอื่น เช่น Statista ซึ่งได้มีการคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของตลาดนี้จะอยู่ที่ราว 15% ต่อปี ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า จากการประเมินของบริษัท จึงคาดว่าในปี 2568 มูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 150,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากปี 2567 ในระดับเลขสองหลัก (double digit growth) สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมนี้ในระยะยาว

สำหรับผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมในปี 2565 – 2567 อยู่ที่ 282.7 ล้านบาท 272.79 ล้านบาท และ 230.53 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 10.78 ล้านบาท 16.79 ล้านบาท และ 10.67 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งรายได้ที่ลดลงในปี 2567 โดยหลักมาจากการดำเนินงานที่เน้นเพิ่มฐานลูกค้ารายใหม่ๆที่เป็นรูปแบบขายขาดมากขึ้น ซึ่งการรับรู้รายได้จากการฝากขายจะรับรู้ตามมูลค่าที่ผู้รับฝากขายได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้า (Retail Price ตามป้ายราคา)

ขณะที่รายได้จากการขายขาดจะรับรู้ตามมูลค่าที่ได้รับหรือคาดว่าจะได้รับสำหรับสินค้าที่ได้ส่งมอบหลังจากหักการรับคืนและส่วนลดโดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (Net Price) รวมถึงกำไรในปี 2567 ที่ดูเหมือนลดลง ส่วนหนึ่งมาจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (one-time expense) สำหรับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และนำเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก

Back to top button