ตลท. เปิดตัว “jump+” 26 มิ.ย. ดันศักยภาพ “บจ.” ลุ้นเม็ดเงิน “กองทุนต่างชาติ” ไหลเข้า

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนพ.ค.ร่วง 4% ท่ามกลางแรงขายต่างชาติ - MSCI ปรับพอร์ต กด SET รูดสะสม 5 เดือนติดลบ 18% เร่งเดินหน้าเปิดตัวโครงการ Jump+ วันที่ 26 มิ.ย. นี้ หวังยกระดับศักยภาพ บจ. พร้อมเผยกองทุนต่างชาติสนแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไทย หลังโรดโชว์ “สิงคโปร์” ชี้หากมีความชัดเจน อาจหนุนเชื่อมั่นตลาดทุนไทยครึ่งหลังปี 68


นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในเดือนพฤษภาคม 2568 เริ่มเห็นพัฒนาการด้านการเจรจาการค้าโดยสหรัฐฯและจีนได้เห็นพ้องที่จะระงับการเรียกเก็บ ภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) เป็นเวลา 90 วัน ทำให้ผู้ลงทุนคลายความกังวลจากสงครามการค้าและเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง

ขณะที่ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งควบคุมโดย พรรครีพับลิกัน ได้ลงมติอนุมัติร่างกฎหมายลดภาษีและการใช้จ่ายขนาดใหญ่ ที่เสนอโดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า One Big Beautiful Bill” ซึ่งมีบางมาตราอาจกระทบกับการจัดเก็บภาษีผู้ลงทุนต่างชาติในสหรัฐฯ

ด้าน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 1/2568 ขยายตัว 3.1% จากการส่งออกที่เร่งตัวขึ้นจากการเร่งส่งมอบสินค้าก่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการลงทุนภาครัฐที่ฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ทำให้ บริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568  ภาพรวมมีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องจากการขยายตัวของภาคการส่งออก และภาคบริการ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก ขนส่ง และโทรคมนาคม

นอกจากนี้ บจ. กว่าครึ่งรายงานกำไรสุทธิเท่ากับหรือสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ สาเหตุหลักมาจากการรับได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบโลกซึ่งเป็นต้นทุนหลักที่ปรับลดลง นอกจากนี้ รายจ่ายดอกเบี้ยของ บจ. ในไตรมาสล่าสุดยังสะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลงสอดคล้องกับการลดดอกเบี้ยนโยบายของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ส่วน ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย เดือนพฤษภาคม 2568 ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 นั้น SET Index ปิดที่ 1,149.18 จุด ปรับลดลง 4.0% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ปรับลดลง 17.9%

โดยมีสาเหตุมาจากความผันผวนจากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศยังคงรบกวนบรรยากาศการลงทุนทั้งในระยะสั้น และระยะกลางผู้ลงทุนอาจหันมาสนใจกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นผลตอบแทนที่มั่นคงจากเงินปันผล ที่บริษัทจดทะเบียนไทยมีการจ่ายปันผลที่ค่อนข้างสูงและสม่ำเสมอ โดยหากกระจายหุ้นในพอร์ตโฟลิโอไปในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายจะยิ่งช่วยบริหารความเสี่ยงในยามที่ความไม่แน่นอนสูงอีกด้วย

  • กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยี
  • มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 43,327 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 9.9% โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิ 16,182 ล้านบาท และยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 55.37% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการปรับพอร์ตการลงทุนตาม MSCI Rebalance ที่มีด้วยกันสองรอบต่อปีในเดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายน ตามลำดับ
  • Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 12.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.1 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 13.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.6 เท่า
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 4.28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.34%

ขณะที่ ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนพฤษภาคม 2568

  • มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 356,872 สัญญา ลดลง 17.7% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 437,620 สัญญา ลดลง 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 43,327 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากเดือน ก่นหน้า 9.9% อย่างไรก็ดี ในช่วงห้าเดือนแรก มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมฯ อยู่ที่ 42,272 ล้านบาท ลดลง 6.9% จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ขณะที่ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 16,182 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการปรับพอร์ตการลงทุนตาม MSCI Rebalance ที่มีด้วยกันสองรอบต่อปีในเดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายน ตามลำดับ ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 70,749 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เดือนพฤษภาคม 2568 ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 55.37% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ตามด้วยผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศ 29.69% และผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ และบริษัทหลักทรัพย์

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ยังต้องติดตามปัจจัยสำคัญทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลการเจรจาด้านภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งหากมีความชัดเจนและออกมาในเชิงบวกก็จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยหนุนความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทย

ขณะที่ ผลตอบรับจากการนำคณะผู้บริหารของตลาดหลักทรัพย์ฯและตัวแทนภาครัฐ เดินทางไปโรดโชว์ที่ ประเทศสิงคโปร์ เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้พบกับนักลงทุนต่างชาติประมาณ 20 กองทุน ซึ่งต่างให้ความสนใจต่อแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของไทย ทั้งรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง และรถไฟทางคู่ โดยมองว่าแผนดังกล่าว หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

“ฟีดแบกจากนักลงทุนต่างประเทศที่ได้พบในครั้งนั้น เขามองว่าแผนโครงสร้างพื้นฐานของไทยมีศักยภาพและเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว เพียงแต่สิ่งที่เขาอยากเห็น คือความคืบหน้าและการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม” นายอัสสเดช กล่าว

โดยนักลงทุนสถาบันต่างชาติที่เข้าร่วมในโรดโชว์ครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เน้นการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่กลุ่มเก็งกำไรระยะสั้น ดังนั้น ความชัดเจนของนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้น

“ถ้ารัฐบาลมีการลงทุนภาครัฐที่ชัดเจนและตรงเป้าหมายมากขึ้น ผมเชื่อว่าจะช่วยพยุงตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาวได้” นายอัสสเดช กล่าว

นายอัสสเดช กล่าวถึง สถานการณ์การขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ว่า หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนยังไม่กลับมาอย่างจริงจัง คือ ความไม่มั่นใจต่อความชัดเจนของนโยบายภาครัฐ แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีแผนงานที่ดีหลายเรื่อง

“พูดตรง ๆ คือ พอเราไม่มีความชัดเจน นักลงทุนก็ทยอยขายออก เพราะเขาเลือกถือเงินไว้ หรือโยกไปลงทุนในที่ที่เห็นโอกาสชัดเจนกว่า เป็นธรรมชาติของการลงทุน เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประเทศไทยต้องทำในระยะต่อไปคือ สร้างความเชื่อมั่นด้วยการลงมือทำจริง โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เคยประกาศไว้” นายอัสสเดช กล่าว

ขณะที่หากถามถึง โครงการ jump+ นั้นในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสนับสนุน บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในการพัฒนาศักยภาพธุรกิจอย่างยั่งยืนผ่านการให้คำปรึกษาเชิงลึกและการสร้างมูลค่าเพิ่มจากภายในองค์กร

“ตอนนี้ ทีมงานภายในของเราพร้อมแล้ว ทั้งด้านระบบสนับสนุน การจัดทีม และการเตรียมความพร้อมสำหรับให้บริการบริษัทที่เข้าร่วมกับ jump+ โดยตั้งเป้าไว้ว่าอย่างน้อย 50 บริษัทจะเข้าร่วมในปีนี้ และเพิ่มขึ้นในปีถัด ๆ ไป” นายอัสสเดช กล่าว

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจต่อโครงการ jump+ ไม่น้อย โดยหลายกองทุนต่างชาติที่ ตลท. ได้พบในงานโรดโชว์ที่สิงคโปร์ ระบุว่าหากมีแผนงานชัดเจนภายใต้โครงการนี้ โดยเฉพาะในรูปแบบที่สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมเอกสารหรือคำอธิบายจากผู้บริหารจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้น

นายอัสสเดช อธิบายว่า โครงการ jump+ จะแบ่งการสนับสนุนออกเป็นหลายระยะ โดยเริ่มจากโปรแกรมวิเคราะห์พื้นฐานของ บจ. ซึ่งจัดร่วมกับสถาบันวิจัยตลาดทุน (สวทน.) เป็นการให้คำปรึกษาขั้นต้นเกี่ยวกับโครงสร้างทุน ผลประกอบการ และศักยภาพในการแข่งขันของบริษัท เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยบริการเบื้องต้นนี้จะเปิดให้กับทุกบริษัท ไม่จำกัดเฉพาะผู้เข้าร่วม jump+

หากบริษัทสนใจเข้าร่วม jump+ อย่างเต็มรูปแบบจะมีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยจัดทำแผนพัฒนาองค์กรระยะ 3 ปี โดยเป้าหมายหลักคือการเพิ่มมูลค่าธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มกำไร เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน หรือเพิ่ม ROE ซึ่งบริษัทสามารถเลือกที่ปรึกษาตามความเหมาะสมของอุตสาหกรรม เช่น ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี AI หรือการจัดการต้นทุน โดยที่ปรึกษาไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินเสมอไป

“เราคุยกับหลายบริษัทเทคโนโลยี เช่น Google และ Amazon ให้เข้ามาช่วยดูว่า มีเทคโนโลยีใดที่สามารถนำไปใช้ลดต้นทุน หรือเพิ่มประสิทธิภาพให้บริษัทจดทะเบียนได้หรือไม่” นายอัสสเดช กล่าว

นายอัสสเดช กล่าวทิ้งท้ายถึงแนวคิดการจัดตั้ง “กระดานใหม่” ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการหารือภายใน โดยประเด็นหลักที่ ตลท. ให้ความสำคัญไม่ใช่เพียงการตั้งกระดานใหม่เท่านั้น แต่คือเป้าหมายในการดึงดูดธุรกิจใหม่ๆ และเซกเตอร์ใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดทุนไทยให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสตาร์ทอัพ หรือบริษัทเทคโนโลยีที่มีศักยภาพ

“เราอยากให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจเกิดขึ้นผ่านการตั้งกระดานใหม่ หรืออาจเป็นการปรับปรุงเกณฑ์ของกระดานเดิมให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทั้งในแง่ของสภาพคล่องหรือคุณสมบัติของบริษัทที่สามารถเข้าจดทะเบียนได้” นายอัสสเดช กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button