
“นายกอิ๊งค์” เร่งปราบ “แก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ” ตั้ง KPI 3 เดือน ยก UN ชี้กัมพูชาแหล่งใหญ่
นายกฯ “แพทองธาร” เดิมเกมเข้ม! ประกาศลุยปราบเครือข่ายสแกมเมอร์-คอลเซนเตอร์ข้ามชาติ สั่งตั้ง KPI ทุกหน่วย วัดผลภายใน 3 เดือน พร้อมยกข้อมูล UN ชี้ “กัมพูชา” เป็นแหล่งใหญ่ของอาชญากรรมไซเบอร์โลก มูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 มิ.ย.68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีฝ่ายมั่นคง-เศรษฐกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง, นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์, พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์, นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์, พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี, พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ตลอดจน สำนักงาน กสทช. และสำนักงาน ปปง.
นางสาวแพทองธาร แถลงภายหลังการประชุมว่า รัฐบาลประกาศยกระดับการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยไทยอาสาเป็นเจ้าภาพในการประสานความร่วมมือกับนานาประเทศ เพื่อจัดการกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน และกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะปัญหาที่ทั่วโลกเผชิญร่วมกัน เช่น แก๊งคอลเซนเตอร์, สแกมเมอร์ และการฟอกเงิน
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สหประชาชาติ (UN) ได้เผยแพร่ข้อมูลระบุว่า “กัมพูชา” ถือเป็นแหล่งศูนย์รวมอาชญากรรมระดับโลก และเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท และ 40-60% ของ GDP กัมพูชา มาจากคอลเซนเตอร์ ขณะเดียวกันยังพบความเชื่อมโยงกับการฟอกเงินอย่างต่อเนื่อง
มาตรการเข้ม 6 ด้าน สกัดอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ
- ความมั่นคงชายแดน คุมเข้ม 7 จังหวัดชายแดนไทยที่ติดกัมพูชา จำกัดเวลาเปิด-ปิดด่าน ห้ามรถและบุคคลภายนอกเข้า-ออก เว้นแต่กรณีจำเป็น เช่น นักเรียน-นักศึกษา ผู้ป่วย หรือการซื้อของจำเป็น พร้อมห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าเล่นพนันในเขตชายแดน และควบคุมการเดินทางทางอากาศไปยังเสียมราฐ
- เทคโนโลยีและข้อมูล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) โดยศูนย์ AOC จะตรวจสอบ “บัญชีม้า” และเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซนเตอร์ พร้อมพิจารณาระงับบริการอินเทอร์เน็ตและประตูเชื่อมใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับหน่วยงานทางทหารและความมั่นคงของรัฐบาลกัมพูชา
- การเงิน-ฟอกเงิน ร่วมมือกับสำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อติดตามเครือข่ายฟอกเงิน พร้อมดำเนินมาตรการคว่ำบาตร ยึด หรืออายัดทรัพย์สินที่ถูกโยกย้ายไปต่างประเทศ
- สินค้า-พลังงานชายแดน ระงับการส่งออกไฟฟ้า น้ำมัน และสินค้าอื่นที่อาจเอื้อต่อกิจกรรมผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเชื้อเพลิงไปกัมพูชา ที่อาจถูกนำไปใช้ในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มอาชญากรรม
- เยียวยาผลกระทบ กระทรวงพาณิชย์เตรียมมาตรการรองรับเกษตรก รและ SME ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดน โดยขอความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน ในการช่วยรับซื้อสินค้า
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศเตรียมประสานกับประเทศต่าง ๆ และองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางปฏิบัติการร่วม สกัดเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ในภูมิภาค
นายกรัฐมนตรี ระบุด้วยว่า ได้กำหนดให้ทุกหน่วยงานจัดทำ ไทม์ไลน์และ KPI ชัดเจน โดยขอให้ภายใน 3 เดือน ต้องมีตัวเลขที่ชี้ชัดถึงผลสัมฤทธิ์ เช่น สถิติการแจ้งความลดลง มูลค่าความเสียหายลดลง และจำนวนทรัพย์สินที่ถูกยึดหรือดำเนินคดีเพิ่มขึ้น
พร้อมยกตัวอย่างกรณีฝั่งเมียนมา ที่เคยดำเนินมาตรการ “ตัดน้ำ-ตัดไฟ” จนลดมูลค่าความเสียหายจากแก๊งคอลเซนเตอร์เหลือประมาณ 30,000 ล้านบาท และทำให้การแจ้งความลดลงอย่างชัดเจน แต่เมื่อพบว่าขบวนการบางส่วนย้ายฐานเข้ากัมพูชา จึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรการใหม่ให้รัดกุมมากขึ้น
สำหรับประเด็นที่รัฐบาลกัมพูชาประกาศไม่รับน้ำมันจากไทยตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมานั้น นางสาวแพทองธาร ระบุว่า ยังเป็นเหตุการณ์เฉพาะพื้นที่ชายแดน แต่หากสถานการณ์ลุกลามมากขึ้น รัฐบาลกัมพูชาอาจต้องกำหนดราคาน้ำมันเอง ซึ่งอาจกระทบราคาภายในประเทศกัมพูชาเอง
“ถ้าไม่รับจากไทยก็คงจะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น ไม่แน่ใจว่าทางกัมพูชาจัดการเรื่องนี้อย่างไร อาจต้องเป็น Cost ที่ตกอยู่ที่ชาวกัมพูชา หรือคนไทยที่อยู่ตรงนั้น” นางสาวแพทองธาร กล่าว ทั้งนี้ จากการสำรวจ ธุรกิจของคนไทยในกัมพูชา ส่วนใหญ่อยู่ในตัวเมือง เช่น โรงแรม ส่วนพื้นที่ชายแดนมีอยู่น้อยมาก
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้มอบอำนาจให้ฝ่ายความมั่นคงใช้ดุลยพินิจในการดำเนินการในพื้นที่ หากพบความผิดปกติ สามารถสั่งเสริมกำลัง หรือปิดช่องทางได้ทันที เพื่อรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของประเทศ
“ได้มอบหมายเรื่องการควบคุมชายแดน ให้พิจารณาจากหน้างาน ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้อำนาจทางทหารให้ช่วยดูได้เลย” นางสาวแพทองธาร กล่าว
ด้าน พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จะมีการตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์รายวัน โดยจะบูรณาการการทำงานทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ประสานความร่วมมือกับองค์กรนานาชาติ เช่น สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC), องค์การตำรวจสากล (INTERPOL) และองค์กรตำรวจอาเซียน (ASEANAPOL) เพื่อให้ไทยเป็น ศูนย์กลางช่วยเหลือผู้เสียหายจากเครือข่ายคอลเซนเตอร์ข้ามชาติ
ทั้งนี้ ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมใหญ่ของ ASEANAPOL โดยมีหัวข้อหลักเกี่ยวกับการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ พร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประเทศสมาชิก ซึ่งเบื้องต้นพบว่า มี 36 ประเทศที่มีประชาชนถูกหลอกไปทำงานในเครือข่ายเมียวดี และคาดว่าในกัมพูชาอาจมีจำนวนไม่น้อยกว่านี้
ขณะที่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ระบุว่า กองทัพได้ดำเนินการตามแผน “Seal – Safe – Stop” โดยเพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวนช่องทางธรรมชาติ พร้อมวางกำลังให้สอดรับกับปริมาณการข้ามแดนที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2569
ในปัจจุบัน กองกำลังบูรพา สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้า–ออกนอกเส้นทางด่านตรวจได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการวางเครื่องกีดขวาง และใช้ระบบเฝ้าตรวจในจุดเสี่ยง โดยเน้นความร่วมมือระหว่างทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เพื่อสกัดทั้งผู้หลบหนีออกจากไทย และผู้ลักลอบกลับเข้ามาในประเทศ