
SET ปิดลบ 5 จุด เซ่นหุ้นวางมาร์จิ้นถูก “ฟอร์ซเซล” หลังเกณฑ์ฟลอร์ชั่วคราว 15%
SET ปิดลบ 5 จุด เซ่นหุ้นวางมาร์จิ้นถูก “ฟอร์ซเซล” หลังเกณฑ์ฟลอร์ชั่วคราว 15% พร้อมวิตกสงครามตะวันออกกลาง ส่วนแนวโน้มพรุ่งนี้ คาดดัชนีไซด์เวย์ ให้แนวรับ 1,050 จุด แนวต้าน 1,070 จุด
10 หุ้นกดดัชนีวันนี้
ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,062.78 จุด ลดลง 4.85 จุด (-0.45%) มูลค่าซื้อขาย 32,506.99 ล้านบาท

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในแดนลบ โดยมีปัจจัยกดดันสำคัญจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล–อิหร่านที่ยกระดับความตึงเครียดขึ้นหลังจากสหรัฐโดดเข้ามามีส่วนร่วม และกระแสข่าวอิหร่านจ่อปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันและก๊าซสำคัญแห่งหนึ่งของโลก กระตุกความเสี่ยงให้กับตลาดจากแนวโน้มต้นทุนน้ำมันที่มีโอกาสจะสูงขึ้นอีก
ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ยังคงขาดความเชื่อมั่นต่อเนื่อง ทำให้ดัชนี SET ลงไปแตะจุดต่ำสุดวันนี้มากกว่าจุดต่ำสุดของเดือนเม.ย. หรือมากกว่า “วันปลดแอก” ของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ทำตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งลงอย่างหนัก
แต่ดัชนีในวันนี้ก็แกว่งตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดได้ในระดับหนึ่ง สะท้อนถึงการผ่อนคลายเล็กน้อย ซึ่งอาจจะมาจากปัจจัยการเมืองที่พรรคร่วมรัฐบาลยังคงประคับประคองเสียงข้างมากในสภาได้ คาดว่าเพื่อเดินหน้าออกมาตรการต่าง ๆ ให้เสร็จสิ้น โดยเฉพาะการพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 69
ขณะที่ แนวโน้มวันพรุ่งนี้ ปัจจัยภายนอกติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิดต่อไป รวมถึงตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนมิ.ย. และปัจจัยภายใน ติดตามการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะมีการพิจารณาโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ และผลประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สัปดาห์นี้ที่ยังเสียงแตกระหว่างลดหรือคงดอกเบี้ยนโยบาย โดยให้แนวรับ 1,050 จุด และแนวต้าน 1,070 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,227.37 ล้านบาท ปิดที่ 274.00 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท
PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,780.67 ล้านบาท ปิดที่ 111.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
TRUE มูลค่าการซื้อขาย 1,727.60 ล้านบาท ปิดที่ 10.40 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,500.55 ล้านบาท ปิดที่ 43.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท
AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,383.60 ล้านบาท ปิดที่ 29.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท
นอกจากนี้ ยังมีหุ้นบางกลุ่มที่เผชิญความเสี่ยงจากแรงขายซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับบัญชีมาร์จิ้น โดยจากข้อมูลของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา พบว่ามี 903 หลักทรัพย์ที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้นในสัดส่วนค่อนข้างสูง
ตัวอย่างเช่น KTC มีจำนวนหุ้นที่ใช้เป็นหลักประกันทั้งสิ้น 420,204,381 หุ้น คิดเป็น 16.30% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด, BEC มีจำนวน 320,465,634 หุ้น หรือ 16.02% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และ XPG จำนวน 1,443,799,646 หุ้น หรือ 13.49% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เกิดแรงขายออกมาในวันนี้อย่างหนัก จนราคาหุ้นบางตัวปรับลดลงถึงระดับราคาต่ำสุด (Floor)
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการชั่วคราวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ประกาศปรับเปลี่ยนเกณฑ์การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น โดยได้ปรับกรอบราคาสูงสุด-ต่ำสุด (Ceiling & Floor) เป็น ±15% จากเดิม ±30% พร้อมกับลดกรอบการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นแบบ Dynamic Price Band เหลือเพียง ±5% เพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง