XPG-BEC-KTC เด้งแรง! หลังคลายกังวล “ฟอร์ซเซล” หนุนซื้อเก็งกำไร

XPG-BEC-KTC เด้งแรง หลังแรงบังคับขาย (Force Sell) คลี่คลาย ตลาดมองเป็นจังหวะเข้าซื้อสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่เชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจของบริษัท


ผู้สื่อข่าวรายงาน (26 มิ.ย.68) ณ เวลา 10:47 น. ว่า บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG อยู่ที่ ระดับ 0.50 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 11.11% สูงสุดที่ระดับ 0.51 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 0.46 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 182.12 ล้านบาท

บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC อยู่ที่ระดับ 1.97 บาท บวก 0.14 บาท หรือ 7.65% สูงสุดที่ระดับ 2.04 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.91 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 435.25 ล้านบาท

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC อยู่ที่ระดับ 27.00 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.89% สูงสุดที่ระดับ 27.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 26.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2,294.65 ล้านบาท

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ราคาหุ้น BEC, XPG, KTC ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากตลาดประเมินว่าแรงขายจากการบังคับขาย (Force Sell) ได้คลี่คลายลงแล้ว

โดยเฉพาะหุ้น KTC ซึ่งเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 มีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 1,071 ล้านหุ้น ขณะที่ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2568 ระบุว่ามีหุ้นที่วางเป็นมาร์จิ้นอยู่ที่ 420 ล้านหุ้น ทำให้สามารถประเมินได้ว่าการลดสถานะมาร์จิ้นได้ดำเนินไปแล้วในระดับหนึ่ง ปัญหาจาก Force Sell จึงน่าจะผ่านพ้นไป

ทั้งนี้ในทำนองเดียวกัน หุ้น BEC มีปริมาณซื้อขายที่ 650 ล้านหุ้น และหุ้น XPG มีการซื้อขายถึง 2,603 ล้านหุ้น ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงการระบายหุ้นจากนักลงทุนที่ถูกบังคับขายน่าจะเสร็จสิ้นลงแล้วเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นายกิจพณ ระบุว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของราคาหุ้นในแต่ละตัว ยังคงต้องพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานเป็นสำคัญ โดยสถานการณ์การถูกบังคับขายที่กดดันราคาหุ้นในช่วงก่อนหน้า อาจกลายเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสำหรับนักลงทุนที่มีมุมมองระยะยาวต่อธุรกิจของบริษัทเหล่านี้

ขณะที่วานนี้ (25 มิ.ย.) ราคาหุ้น บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC กลับมาฟื้นตัวปิดที่ 26.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท เปลี่ยนแปลง +6.00% หลังจาก 2 วันก่อนหน้านี้ ปิดตลาดที่ระดับ “ฟลอร์” หรือ -15% (ตามเกณฑ์มาตรการชั่วคราวของตลาดหลักทรัพย์) ส่วนมูลค่าการซื้อขายมากเป็นอันดับ 1 ด้วยมูลค่าประมาณ 22,381 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าการซื้อขายรวมซึ่งอยู่ที่ 62,662 ล้านบาท โดยราคาหุ้นลงมาต่ำสุด 21.80 บาท และสูงสุดอยู่ที่ 27.00 บาท

ขณะเดียวกันมีรายงานพบรายการบิ๊กล็อตหุ้น KTC จำนวน 14 รายการ รวมปริมาณหุ้นกว่า 129.20 ล้านหุ้น มูลค่ารวมกว่า 2,672.84 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 20.69 บาทต่อหุ้น โดยรายการบิ๊กล็อตดังกล่าว สอดคล้องกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ที่นำเสนอข่าววันก่อนหน้านี้ว่า จะมี “กองทุน” ขนาดใหญ่เข้ามารับซื้อหุ้น KTC หลังจากราคาหุ้นได้ปรับลงมาต่อเนื่อง จนพื้นฐานอยู่ในระดับน่าสนใจ และคุ้มค่อต่อการลงทุน

ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) แห่งหนึ่ง กล่าวว่า หุ้น KTC ที่ถูกบังคับขาย (ฟอร์ซเซล) น่าจะถูกนำออกมาขายหมดแล้ว โดยจำนวนหุ้น KTC ของนักลงทุนรายใหญ่ ที่ใช้วางบัญชีมาร์จิ้นมีอยู่ประมาณ 420.2 ล้านหุ้น ส่วนวานนี้หุ้น KTC มีการซื้อขายกว่า 942.4 ล้านหุ้น

ด้านนางพิทยา วรปัญญาสกุล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC ได้แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) ถึงกรณีพัฒนาการที่สำคัญรวมถึงสร้างความเข้าใจให้กับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสีย ว่า  ตามที่ราคาหุ้น KTC  ได้ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน (25 มิ.ย.68)

ทั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นไปตามปัจจัยภายนอกและกลไกการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ

อย่างไรก็ตามบริษัทฯได้รับการสอบถามจากหลายภาคส่วนอย่างต่อเนื่องถึงการดำเนินงานของบริษัทฯ ดังนั้น เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียอย่างเท่าเทียมกัน

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับบทบาทของบริษัทฯ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบัญชีมาร์จิ้นและการขายหุ้นของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า เนื้อหาที่ปรากฏในข่าวบางประเด็นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และอาจก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในวงกว้าง

โดย บริษัทฯ ไม่ได้ปล่อยกู้ในบัญชีมาร์จิ้นตามจำนวนที่เป็นข่าว (5,000 ล้านบาท) ให้กับลูกค้ารายที่ปรากฏตามที่มีการรายงานในข่าว และกรณีที่ราคาหุ้น KTC มีความผันผวนอย่างรุนแรงในวันจันทร์ที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากการบังคับขายหลักทรัพย์ (Forced sell) จากบริษัทฯ ทั้งนี้ แม้บริษัทฯ จะมีการส่งคำสั่งขายบางส่วนในวันถัดมา แต่ไม่ได้เกิดการจับคู่ซื้อขาย (Matching) ในระบบ

“เมย์แบงก์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของตลาดทุนโดยรวม และตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้าเป็นสำคัญ ทุกการดำเนินการของบริษัทฯ จึงอยู่บนพื้นฐานของความรอบคอบและความรับผิดชอบ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่ไม่จำเป็นต่อผู้ลงทุนและตลาดโดยรวม” บล.เมย์แบงก์ฯ ระบุ

บริษัทฯ ขอยืนยันว่า ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจยังคงมีความแข็งแกร่ง ไม่มีเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของบริษัทฯ โดยบริษัทฯยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินงานด้วยความโปร่งใส หากมีข้อมูลที่มีสาระสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ บริษัทฯ จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวผ่านของทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เท่าเทียม และทันเวลาต่อไป

เช่นเดียวกับ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด หรือ UOBKH ได้ชี้แจงเกี่ยวกับรายงานข่าวที่ระบุว่าบริษัทหลักทรัพย์สัญชาติสิงคโปร์ในประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบจากการบังคับขายหุ้น KTC เนื่องจากมีการให้สินเชื่อ Margin แก่ลูกค้ารายหนึ่ง โดยฝ่ายบริหารของ UOBKH ยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่ได้ให้สินเชื่อ Margin แก่ลูกค้ารายดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ล่าสุดนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการบังคับขายหุ้น KTC ในช่วงสองวันที่ผ่านมา

Back to top button