
หนุน LTF โยกเงินเข้า TESGX ทางเลือกภาษี-ผลตอบแทน
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ การโยกเงินจากกองทุน LTF สู่ “Thai ESGX” เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า โดยเฉพาะผู้มีรายได้สูง แม้ล็อกเงินเพิ่มอีก 5 ปี ด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษีและโอกาสรับปันผลสูงกว่า 4% ต่อปี ช่วยลดแรงกระแทกจากความเสี่ยง
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เผยแพร่บทความของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อ “การโยกเงินลงทุนจากกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ไปยังกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX)” โดยชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนผ่านการลงทุนดังกล่าว อาจเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ทางการเงินที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้สูงที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีควบคู่กับการวางแผนลงทุนระยะยาว
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำนวนไม่น้อยยังคงลังเล แม้จะถือ LTF ครบกำหนดแล้วก็ตาม เพราะการโยกเงินเข้าสู่ Thai ESGX จะทำให้ต้องถือครองหน่วยลงทุนต่ออีก 5 ปี ซึ่งเป็นเงื่อนไขหลักในการรับสิทธิลดหย่อนภาษี จึงเกิดคำถามตามมาว่า หากในอนาคตกองทุนขาดทุน การลงทุนนี้ยังจะคุ้มอยู่หรือไม่
เพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้น อยากให้พิจารณาใน 3 มิติหลัก ได้แก่ เงื่อนไขการสับเปลี่ยน ผลประโยชน์ทางภาษี และระดับความเสี่ยง โดยในด้านเงื่อนไข นักลงทุนสามารถนำเงินลงทุนใน Thai ESGX มาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาทในปี 2568 และลดหย่อนได้เพิ่มอีกปีละ 50,000 บาทในช่วงปี 2569-2572 โดยมีข้อแม้ว่าต้องถือหน่วยลงทุนต่ออีก 5 ปีหลังจากปีที่ใช้สิทธิ์ลดหย่อน
สำหรับผลประโยชน์ทางภาษี ถือเป็นจุดแข็งของ Thai ESGX โดยเฉพาะกับผู้มีรายได้สูง เช่น หากอยู่ในฐานภาษี 20% การลงทุนเต็มจำนวนจะช่วยประหยัดภาษีได้ถึง 100,000 บาท แม้กองทุนจะเกิดการขาดทุนเล็กน้อย แต่ถ้าขาดทุนน้อยกว่าภาษีที่ประหยัดได้ ก็ยังถือว่าให้ผลตอบแทนโดยรวมที่คุ้มค่า
ในด้านความเสี่ยง แม้การลงทุนย่อมมีความไม่แน่นอน แต่ข้อมูลสถิติย้อนหลังชี้ว่า โอกาสที่ Thai ESGX จะขาดทุนเกิน 5% ภายในระยะเวลา 5 ปี มีความเป็นไปได้ต่ำกว่า 10% ถือว่าเป็นความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ โดยเฉพาะเมื่อมี “กันชนภาษี” จากสิทธิลดหย่อนช่วยรับแรงกระแทกจากภาวะขาดทุน จังหวะการลงทุนในช่วงนี้ยังถูกมองว่าน่าสนใจ
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย ปัจจุบัน P/BV อยู่ที่ระดับ 1.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ส่วนค่า P/E อยู่ที่ 15.7 เท่า สะท้อนว่ายังไม่ได้รวมศักยภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน อัตราปันผลเฉลี่ยของหุ้นไทยอยู่ที่ 4-4.5% ต่อปี สูงกว่าพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนเพียง 2% เท่านั้น