
5 เดือนแรกธุรกิจ “โฮลดิ้ง-อิเล็ก” เงินทุนพุ่ง 1.31 แสนล้าน สวนทางยอดตั้งบริษัทใหม่วูบ 5%
กระทรวงพาณิชย์ เปิดยอดจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ ม.ค.–พ.ค. 68 ลดลง 5% เหลือ 36,815 ราย แต่เงินทุนกลับเพิ่มขึ้น 131,027 ล้านบาท โตสวนทาง 11% จากปีก่อน รับธุรกิจโฮลดิ้ง การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ และกลุ่มพลังงาน สะท้อนแนวโน้มธุรกิจเน้นศักยภาพเติบโตระยะยาว
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (27 มิ.ย. 68) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนพ.ค.68 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 6,667 ราย ลดลง 832 ราย ลดลง 11.09% เมื่อเทียบกับพ.ค.67 (7,499 ราย) แต่เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับเม.ย.68 (6,325 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียนเดือนพ.ค.68 อยู่ที่ 18,965 ล้านบาท ลดลง 2,923 ล้านบาท หรือ 13.35% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.67 อยู่ที่ 21,887 ล้านบาท
โดยประเภทธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 516 ราย 2.) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 436 ราย 3.) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 300 ราย
ทั้งนี้ ในเดือนพ.ค.68 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย คือ บริษัทภูเก็ต อาร์บีวัน จำกัด ประกอบกิจการโรงแรม มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 1,062 ล้านบาท
ส่งผลให้ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค.) การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ มีจำนวน 36,815 ราย ลดลง 2,217 ราย ลดลง 5.68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67 (39,032 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียน 131,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,927 ล้านบาท (11.89%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 67 (117,100 ล้านบาท)
โดยธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 2,910 ราย ทุนจดทะเบียน 5,988 ล้านบาท 2.) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2,483 ราย ทุนจดทะเบียน 9,314 ล้านบาท และ 3.) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 1,537 ราย ทุนจดทะเบียน 3,027 ล้านบาท ทั้งนี้ 5 เดือนของปี 68 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 8 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน รวม 38,561 ล้านบาท
สำหรับการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการในเดือน พ.ค.68 มีจำนวน 855 ราย ลดลง 149 ราย (-14.84%) เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.67 (1,004 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิก 4,150 ล้านบาท ลดลง 50,654 ล้านบาท (-92.43%) เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.67 (54,804 ล้านบาท) โดยประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 75 ราย 2.) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 48 ราย และ 3.) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 43 ราย
ขณะที่ การจดทะเบียนเลิกกิจการช่วง 5 เดือนแรกของปี 68 มีจำนวน 4,776 ราย เพิ่มขึ้น 153 ราย (3.31%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 (4,623 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 20,140 ล้านบาท ลดลง 51,704 ล้านบาท (-71.97%) เมื่อเทียบกับ 5 เดือนของปี 2567 (71,845 ล้านบาท)
โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 447 ราย 2.) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 232 ราย และ 3.) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 202 ราย ทั้งนี้ ช่วง 5 เดือนของปี 2568 มีนิติบุคคลเลิกประกอบกิจการที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 2 ราย รวมทุนจดทะเบียนเลิกทั้งสิ้น 4,128 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ วันที่ 31 พ.ค.68 มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคล รวมทั้งสิ้น 2,001,647 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.84 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 953,580 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.56 ล้านล้านบาท
นางอรมน กล่าวว่า แม้ยอดจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 จะลดลง 5.68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่หากมูลค่าเงินทุนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นถึง 11.89% เมื่อเทียบกับปี 67 โดยกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าการลงทุนสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน อาทิ ธุรกิจโฮลดิ้ง การผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม และการผลิตโซ่ ลวดสปริง สลักเกียว เป็นต้น
ในขณะที่ กลุ่มธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และห้องชุด การให้คำปรึกษาด้านการจัดการ การขายส่งสินค้าทั่วไป และการขนส่ง และขนถ่ายสินค้า ยังคงเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดี เนื่องจากทั้งจำนวนการจัดตั้ง และมูลค่าการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้เมื่อเทียบกับปีแล้ว ซึ่งเป็นผลจากนโยบาย และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล การขยายตัวของห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และการที่กลุ่มธุรกิจต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยบริหารจัดการและวางกลยุทธ์ของธุรกิจ เป็นต้น
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ทั้งจำนวนการจัดตั้ง และมูลค่าการลงทุนชะลอตัว ได้แก่ ก่อสร้างอาคารทั่วไป อสังหาริมทรัพย์ ภัตตาคาร ขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น เนื่องจากผลกระทบของกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง จากนโยบายการรัดกุมในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ การชะลอตัวของการซื้อของชาวต่างชาติจากสภาวะเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น ตลอดจนการแข่งขันที่สูงขึ้นของผู้เล่นในตลาดขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
สุดท้ายนี้ ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 แม้เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงในเรื่องต่าง ๆ แต่จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 การเร่งรัดเบิกจ่ายเงินงบประมาณ มาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของการท่องเที่ยว มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาให้ SME และการเจรจาจัดทำความตกลงทางการค้ากับต่างประเทศ จะช่วยส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม และช่วยคงจำนวน และมูลค่าการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในปี 2568 ให้สามารถเติบโตได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือ 90,000 ราย