
TTB เปิดกำไร Q2 แตะ 5 พันลบ. ลุยต่อแคมเปญ “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 2
TTB รายงานงบไตรมาส 2/68 แตะ 5.04 พันล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนแรกมีกำไรแตะ 1.01 หมื่นล้านบาท ตั้งสำรองหนี้ลด เดินหน้า “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 2 หนุนลูกค้า หนุนแนวโน้มครึ่งปีหลังแกร่ง ยันคงจ่ายเงินปันผลสูงต่อเนื่อง
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีกำไรสุทธิลดลง ดังนี้
สำหรับ TTB รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,004.27 ล้านบาท ลดลง 7.22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 5,393.76 ล้านบาท สาเหตุ สาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงเหลือ 12,742 ล้านบาท ลดลง 3.6% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 10.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนผลกระทบจากแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายขาลง และการช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มเปราะบางผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสินเชื่อลดลง
อย่างไรก็ตาม ธนาคารสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการปรับโครงสร้างเงินฝาก และจัดการหนี้สิน-เงินกู้ยืมอย่างเหมาะสม
ในด้านค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ไตรมาสนี้อยู่ที่ 7,271 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 1.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากค่าใช้จ่ายด้านซอฟต์แวร์ และค่าใช้จ่ายครั้งเดียว (one-time) จากการตัดจำหน่ายระบบ IT เดิม (IT write-off)
TTB ยังคงเดินหน้าเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่โมเดล Digital-first ควบคู่กับการบริหารจัดการสาขาและทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายประจำ (Recurring Costs) โดยเฉพาะด้านอาคารและบุคลากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับคุณภาพการบริการและประสบการณ์ของลูกค้าอย่างไม่ลดละ
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,100.28 ล้านบาท ลดลง 6.20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 10,767.90 ล้านบาท สาเหตุจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 25,961 ล้านบาท ลดลง 9.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และการให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านโครงการต่าง ๆ รวมถึง “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อโดยตรง
ทั้งนี้ เงินสนับสนุนจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ได้รับจากธนาคารแห่งประเทศไทย จะถูกบันทึกเป็นรายได้จากการดำเนินงานอื่น (Non-NII) ไม่รวมในรายได้ดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการจัดการเงินฝากและเงินกู้ยืมอย่างเหมาะสม ส่งผลให้ต้นทุนการเงินลดลง ช่วยพยุงรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในภาพรวมของครึ่งปีแรก
ด้าน นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TTB เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก อย่างไรก็ดีจากการที่ทีทีบีเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบมาโดยตลอด จึงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีความพร้อมในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ และสามารถดำเนินการตามแผนงานด้านต่าง ๆ ได้ตามเป้าหมาย สิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ยังคงเป็นเรื่องของการให้ความช่วยเหลือลูกค้า การเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นตามแผนบริหารส่วนทุน และการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ให้มีเสถียรภาพท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ กำไรสุทธิ 5,004 ล้านบาท ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบแล้วจะเห็นว่าปรับตัวลดลง 2% จากไตรมาส 1/68 และลดลง 7% จากไตรมาส 2/67 การลดลงดังกล่าวมีสาเหตุหลักจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย และสะท้อนผลจากการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้าภายใต้โครงการต่าง ๆ นำโดยโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 มีลูกค้าทั้งรายย่อยและ SMEs เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 54,000 ราย หรือคิดเป็นยอดสินเชื่อราว 31,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรแกรมปรับโครงสร้างหนี้รูปแบบอื่นๆ เพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ซึ่งหนึ่งในโครงการที่เราได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บริการ “รวบหนี้” ซึ่งมีลูกค้าเข้าร่วมกว่า 53,650 ราย ในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจาก 37,470 ราย ในปี 67 และ 17,000 รายในปี 66 หรือเทียบเท่ากับว่าสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้กว่า 2,510 ล้านบาท โดยล่าสุดธนาคารได้เปิดตัวโปรแกรมใหม่ “ผ่อนดี มีรางวัล” เพื่อตอบแทนกลุ่มลูกค้าสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และสินเชื่อบุคคล ที่มีวินัยทางการเงินและมีประวัติการผ่อนชำระอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับความคืบหน้าของแผนการบริหารส่วนทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นนั้น ณ สิ้นไตรมาส 2 ธนาคารเสร็จสิ้นการซื้อหุ้นใน บล.ธนชาต เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมเดินหน้าสร้างความร่วมมือระหว่างกันเพื่อต่อยอด Wealth Ecosystem เพื่อพัฒนาการให้บริการอย่างครบวงจร ด้านโครงการซื้อหุ้นคืน ดำเนินการไปแล้วกว่า 3,876 ล้านบาท จากกรอบงบประมาณ 7,000 ล้านบาท ในปี 68 นี้
ท้ายสุดในเรื่องของการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ เป็นสิ่งที่ทีทีบีเน้นย้ำมาตลอดและสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ตามเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและยาว โดยหากมองในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ทีทีบีสามารถควบคุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ให้ทรงตัวที่ 2.6% – 2.7% ถือเป็นหนึ่งในธนาคารที่มี NPL ratio ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม และหากมองภาพระยะยาวนับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 ธนาคารสามารถลดยอดหนี้เสียได้ราว 12% จากประมาณ 44,000 ล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 39,000 ล้านบาท สะท้อนผลสำเร็จจากการบริหารจัดการเชิงรุกและการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นใหม่ รวมไปถึงการแก้หนี้เสียเชิงรุกและการช่วยลูกค้าแก้ปัญหาหนี้อย่างเหมาะสม ซึ่งส่งผลให้อัตราการผิดนัดชำระหนี้ลดลงและพอร์ตสินเชื่อมีคุณภาพดีขึ้น
สำหรับช่วงที่เหลือของปี ธนาคารจะยังคงเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบต่อไป เพื่อรักษาเสถียรภาพและความแข็งแกร่งทางการเงินควบคู่กับการบริหารจัดการด้านต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการกำไร ทั้งนี้ ด้วยฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ธนาคารมั่นใจว่าจะสามารถคงอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงได้แม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดก็ตาม ขณะที่ประเมินว่าโครงการซื้อหุ้นคืน 3 ปี วงเงิน 21,000 ล้านบาท จะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาดทุนที่มีต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้นได้เช่นกัน
ประการสำคัญ ธนาคารยังคงสนับสนุนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เฟส 2 รวมทั้งโครงการอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืน และแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารในการทำให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น