งบไตรมาส 2-ไร้ความเสี่ยงบัญชีมาร์จิ้น ตัวปลดล็อกราคาหุ้น KTC

ข้อยุติ ในความสงสัย กรณีการปรับตัวลดลงของหุ้นบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC อย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา


ข้อยุติ ในความสงสัย กรณีการปรับตัวลดลงของหุ้นบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC อย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ที่เกิดจากผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งที่ถือหุ้นจำนวน 1 ใน 3 ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท ที่ใช้บัญชีมาร์จิ้น เพื่อควบคุมหุ้นตัวนี้มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ถูกบังคับขาย (Force sell) นั้น คือ

การเติบโตของผลประกอบการไตรมาส 2/68 ที่ประกาศออกมาล่าสุด กำไรสุทธิ 1,895 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 0.73 บาทต่อหุ้น โดยมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง การคุมคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี  แถมยังมีการขยายตัวของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ยังขยายตัวดีกว่าอุตสาหกรรม

ความกังขาของผู้ลงทุนในตลาดหุ้น ที่ส่วนใหญ่มองว่า หุ้น KTC ถูก force sell จากมาร์จิ้น จากผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ leverage มากเกินไปนั้น ยังเลยเถิดคิดไปว่า งบการเงินตั้งแต่ไตรมาส 2/68 เป็นต้นไปจะแย่ และทรุดตัวลงนั้น คงไม่ใช่อีกต่อไป

ความน่ากลัว ที่ควรกลัวสำหรับผู้ลงทุน ที่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน จะยกเคสของการปรับตัวลดลงอย่างหนักของหุ้น KTC ไปเหมารวม ว่าจะเป็นเหมือนกับหุ้นตัวอื่น ๆ ที่ได้ถูก force sell จนสร้างความเสียหายให้กับผู้ลงทุนมากมาย มาแล้วเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ยกตัวอย่างหุ้น SABUY, YGG, EA, NEX, BYD ฯลฯ

ในเบื้องต้น หุ้น KTC  มีแนวทางที่เป็นสาเหตุของ ราคาหุ้นที่ร่วงหนักคล้ายกับหุ้นจี๊ดดังกล่าว ที่ยกตัวอย่างมา

ในเมื่อพฤติกรรมเริ่มต้นที่เหมือนกัน จนทำให้ ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ ที่เข็ดขยาด กับหุ้นถูก force sell และไม่มีเจ้าของหุ้น มารับหุ้นกลับไป

การตีความว่า สเตปต่อมา หลังหุ้น KTC ร่วง คือ “ผลประกอบการที่จะต้องออกมาแย่” ถูกฉายภาพปรากฏขึ้นในหัวทันที

แต่กลายเป็นว่า หุ้น KTC ไม่ได้เป็นเช่นนั้นทั้งหมด ประกอบกับ ที่ผ่านมา ผู้บริหารหุ้น KTC ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมการออกมาให้ข่าวอะไรเลย

ผู้เขียน ขอเดาว่า เหตุที่บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องออกมาให้ข่าวใด ๆ เนื่องจาก เหตุที่ราคาหุ้นร่วง คือ “เกมหุ้น” ของผู้ถือหุ้นรายบุคคล ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง กับ โครงสร้างธุรกิจ หรือ กำไรที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

โดยประเมินว่า ธุรกิจของ KTC ยังคงดำเนินต่อไปเหมือนไตรมาส ที่ผ่านมา และยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้อง ตั้งโต๊ะแถลงข่าว หรือ ออก statement ใด ๆ ซึ่งจะแตกต่างจากบริษัทอื่น ๆ ที่พยายาม ออกมาแก้ต่าง  หาแพะ หรือ โยนบาป ให้กับ เครื่องมือการลงทุน อย่างที่เราเคยเห็นมาว่า มีทั้ง Naked short, Short sell, Robot, HFT มาทุบหุ้นตนเอง

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ถือหุ้นใหญ่ต่างหาก ที่รู้งบการเงินก่อนประกาศ ว่า “จะแย่-ขาดทุน” จึงเทขายออกมาก่อน และใช้จังหวะ เงื่อนไข ของการ force sell ในการเทขายหุ้นได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาต้องห้าม ของการห้าม ซื้อหรือขายหุ้น ก่อนงบการเงินออก 30 วัน ก็ตาม

ช่องโหว่ดังกล่าว ทำให้บุคคลที่เป็นผู้บริหาร หรือ เจ้าของ ที่รู้อินไซด์ผลประกอบการก่อน ปล่อยเลยตามเลย ไม่เติมเงินในบัญชีมาร์จิ้น และไม่คิดว่า จะรับ หรือซื้อหุ้นตนเองกลับคืน เมื่อเวลาที่ราคาหุ้นร่วงหนัก

ในทางตรงกันข้าม ที่จะไม่นิ่งเฉย หรือ ปล่อยเลยตามเลย คือ  การออกแถลงการณ์ หรือ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว

“เราเคยเห็น การบีบน้ำตา ว่าคนทำธุรกิจอย่างตน จะต้องมาเสียหาย หรือหมดตัว เพราะ เครื่องมือทางการเงิน ที่ออกแบบ โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ สำนักงาน ก.ล.ต.”

และแล้ว กาลเวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ ว่า ผลประกอบการ, การชำระคืนหุ้นหุ้นกู้ ที่ปรากฏออกมาเหล่านี้ คือ “หลักฐานของความจริง” ที่จะปฏิเสธไม่ได้

พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้น กับหุ้น KTC และเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกันอีกต่างหาก

ผลประกอบการไตรมาส 2/68 ที่ออกมา ถือเป็นการปลดล็อก ราคาหุ้นที่ถูกหน่วงเอาไว้ หลังจากการ force sell ได้จบลง

ด้วยความไม่แน่ใจของผู้ลงทุน ที่ต่างเฝ้าจับตาดูงบการเงิน ประกอบกับ การได้เจ้ามือรายใหม่ ที่เป็นนักลงทุนสถาบัน ที่เน้นการถือหุ้นระยะยาว แถมไม่ได้ใช้มาร์จิ้นที่จะปรากฏชื่อออกมา หากมีการปิดสมุดทะเบียนอีกครั้ง ซึ่งน่าจะทำให้กองทุนอีกหลายกอง ต้องแห่เข้าไปตาม เพื่อรักษา benchmark ระหว่างกองทุนด้วยกัน

ในระหว่าง มีข่าวดีของหุ้น KTC ที่ลดความเสี่ยงจากการใช้บัญชีมาร์จิ้น คือ การแจ้งข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เปิดเผยตัวเลขการใช้มาร์จิ้นของหุ้น KTC ล่าสุด ณ เดือน มิ.ย. 68 ที่ลดลง -329,725,914 หุ้น จากเดิมที่หุ้น KTC ถูกกู้มาร์จิ้นจำนวน 420,204,381 หุ้น เหลือเพียง 90,478,467 หุ้นเท่านั้น

จะเรียกว่า ความเสี่ยงจากการถูก force sell ลดลงมากถึง 78.57% ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ นอกเหนือ งบการเงินที่ออกมา

อึ้งย้ง

Back to top button