
อีสท์สปริงแนะ 5 ธีมหลักลงทุน กระจายพอร์ตรับมือหุ้นผันผวน
แนวโน้มการลงทุนทั่วโลกในครึ่งหลังของปี 2568 ยังคงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ความผันผวน
เส้นทางนักลงทุน
แนวโน้มการลงทุนทั่วโลกในครึ่งหลังของปี 2568 ยังคงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน ความผันผวน ดังนั้นการเลือกสินทรัพย์ การจับจังหวะการลงทุน การจัดพอร์ตการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญอย่างมาก
ทั้งนี้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ได้เปิดมุมมองการลงทุนและการจัดพอร์ตที่ดีในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 นำทีมโดย “ดารบุษป์ ปภาพจน์” กรรมการผู้จัดการ, “ยิ่งยง เจียรวุฑฒิ” รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน และ “บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ได้ร่วมกันเปิดมุมมอง โดยระบุว่า ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าระหว่างประเทศยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนทั่วโลก แม้บางประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้แล้ว แต่ภาพรวมของอัตราภาษีศุลกากรนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศคู่ค้า อาจกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า
หากแยกเป็นรายประเทศ คาดการณ์ว่าในปี 2568-2569 เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลง เหลือประมาณ 1.4% และ 1.6% ตามลำดับ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งคาดว่าจะได้เห็นภาพธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มทยอยลดดอกเบี้ย เมื่อเห็นอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น
ในฝั่งของจีน จากการที่สหรัฐฯ มีการลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนและมีการผ่อนผันระยะเวลาออกไป 90 วันทำให้อัตราภาษีเฉลี่ยลดลงเหลือราว 35% แต่ยังถือเป็นแรงกดดันต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ประมาณ 1% ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม อีสท์สปริงยังคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตได้ราว 4.5% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการคลังและมาตรการกระตุ้นเฉพาะด้าน และคาดว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติมในช่วงต้นไตรมาส 4 ปี 2568 ขณะที่ราคาหุ้นจีนยังอยู่ในระดับน่าสนใจ ช่วยเปิดโอกาสสำหรับนักลงทุนสำหรับการเติบโตในระยะยาว
สำหรับอินเดีย กลายเป็นผู้รับผลประโยชน์สูงสุดในภูมิภาคเอเชีย จากโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตที่ 6.4% ในปีนี้ และ 6.6% ในปีหน้า ทั้งนี้ หากสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้เพิ่มเติม จะช่วยให้อินเดียเพิ่มเสน่ห์ในฐานะศูนย์กลางการผลิตของโลก แม้หุ้นอินเดียจะมีมูลค่าที่แพงกว่าตลาดหุ้นเอเชีย แต่ก็ยังคงมีเสถียรภาพจากนโยบายการเงินที่เอื้ออำนวย รวมถึงได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิต (Reshoring)
ในขณะที่ประเทศไทย คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยคาดว่า GDP จะอยู่ที่ราว 1.8% จากแรงกดดันด้านการค้าต่างประเทศที่อาจจะชะลอตัว การลงทุนภาคเอกชนที่อ่อนแอ และความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้ภาคการท่องเที่ยวจะชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ
ขณะที่เงินเฟ้อไทยยังอยู่ในระดับต่ำ เปิดโอกาสให้ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจพิจารณาลดดอกเบี้ยได้อีกหนึ่งครั้ง หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่คาดสำหรับการลงทุนในไทย แนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นหุ้นปันผลสูง เพื่อช่วยลดความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง
“หลัก ๆ แล้วทิศทางตลาดหุ้นไทยยังขึ้นอยู่กับผลการเจรจาภาษีการค้าของสหรัฐฯ ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นี้ หากไม่มีปัจจัยลบใหม่ก่อนที่จะมีข้อสรุปอะไรดัชนีจะเคลื่อนไหว 1,200-1,225 จุด แต่หากมีความคืบหน้า แรงกดดันก็จะหายไป จากตลาดหุ้นขึ้นมารอบนี้เกือบ 100 จุด เพราะความคาดหวัง หากภาษีออกมาต่ำกว่า 36% ดัชนีอาจจะขึ้นต่อได้แถว ๆ 1,200-1,250 จุด แต่หากยังถูกเก็บอย่างที่ประกาศออกมาก็อาจจะลงไป 1,040-1,050 ได้”
อย่างไรก็ตาม การที่ บลจ.อีสท์สปริง มองว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นักลงทุนทั่วโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้า การเติบโตที่ชะลอตัวลงในเศรษฐกิจหลัก และการเปลี่ยนผ่านไปสู่ทิศทางดอกเบี้ยขาลง จึงแนะนำกรอบการลงทุน 5 ธีมหลัก เพื่อรับมือกับสภาพแวดล้อมมหภาคที่เปราะบาง ดังนี้
- D = Diversify Globally แนะนำ กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Core (ES-GCORE)
- R = Resilient US Leaders แนะนำ กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP)
- I = Income from Innovation แนะนำ กองทุนเปิดอีสท์สปริง Nasdaq Equity Premium Income (ES-NDQPIN)
- V = Value from Asia แนะนำ กองทุนเปิดอีสท์สปริง Asian Low Volatility Equity (ES-ALOVE)
- E = Enhanced Bond Income แนะนำ กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Income (ES-GINCOME)
นี่ถือเป็น 5 ธีมหลัก สำหรับการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ซึ่ง บลจ.อีสท์สปริงแนะนำ