“ดาวโจนส์” ปิดลบ 542 จุด หลังตัวเลขจ้างงานสหรัฐต่ำคาด-หุ้น Amazon ร่วงหนัก

“ดาวโจนส์” ปิดลบ 542 จุด รวมถึงดัชนี S&P500 ลบ 101 จุด และดัชนี Nasdaq ลบไป 472 จุด แรงกดดันจากข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอเกินคาด พร้อมกับถูกกดดันจากการร่วงลงถึง 8.3% ของหุ้น Amazon หลังผลประกอบการรายไตรมาสของธุรกิจคลาวด์ Amazon Web Services ต่ำกว่าความคาดหวังของตลาด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (02 ส.ค. 68) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงกว่า 500 จุดในวันศุกร์ (1 ส.ค. 68) ขณะที่ดัชนี S&P500 ดิ่งลงมากที่สุดในรอบกว่า 2 เดือน เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นที่เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอเกินคาด และการประกาศกำหนดภาษีนำเข้ารอบใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,588.58 จุด ลดลง 542.40 จุด หรือราว 1.23% ขณะที่ S&P500 ร่วง 101.38 จุด หรือ 1.60% ปิดที่ 6,238.01 จุด และ Nasdaq ทรุดลง 472.32 จุด หรือ 2.24% ปิดที่ 20,650.13 จุด ซึ่งนับเป็นการปรับตัวลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายเดือน โดยเฉพาะดัชนี S&P500 ที่ปรับลดแรงที่สุดนับตั้งแต่ 21 พฤษภาคม และ Nasdaq ที่ร่วงหนักที่สุดตั้งแต่ 21 เมษายน

โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นหลักทั้งสามปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยดาวโจนส์ลดลง 2.92%, S&P500 ลดลง 2.36% และ Nasdaq ลดลง 2.17% สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนที่ยังไม่คลี่คลาย

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ฉุดตลาดคือการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 106,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4.2% จากเดิม 4.1% นอกจากนี้ ตัวเลขการจ้างงานในเดือนมิถุนายนและพฤษภาคมก็ถูกปรับลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะเดือนมิถุนายนที่ปรับจากเดิม 147,000 ตำแหน่ง เหลือเพียง 14,000 ตำแหน่ง

ข้อมูลเหล่านี้ส่งสัญญาณว่า ตลาดแรงงานของสหรัฐฯ กำลังชะลอตัวลงอย่างชัดเจน จึงเป็นเหตุให้นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ โดยข้อมูลจาก CME FedWatch Tool ระบุว่า ความน่าจะเป็นที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมเดือนกันยายนเพิ่มขึ้นจาก 37.7% เป็น 86.5%

ขณะเดียวกัน ตลาดยังได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้าอย่างแคนาดา บราซิล อินเดีย และไต้หวัน ซึ่งเป็นความพยายามกดดันให้ได้ข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ โดยคำสั่งนี้มีผลก่อนเส้นตายเพียงไม่กี่ชั่วโมง และยิ่งซ้ำเติมความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

ผลกระทบต่อหุ้นรายตัวก็รุนแรงไม่แพ้กัน โดยหุ้น Amazon ดิ่งลงถึง 8.3% หลังรายงานผลประกอบการของธุรกิจคลาวด์ (Amazon Web Services) ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ของตลาด ซึ่งนอกจากจะฉุดดัชนี Nasdaq แล้วยังทำให้หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยใน S&P500 ร่วงลงเกือบ 3.6% มากที่สุดในบรรดากลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมด

แม้ว่า Apple จะรายงานรายได้ไตรมาสถัดไปสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แต่ราคาหุ้นกลับปรับตัวลง 2.5% หลังจากซีอีโอ ทิม คุก เตือนว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะทำให้ต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 1.1 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกัน

อีกด้านหนึ่ง ความเคลื่อนไหวในภาครัฐก็มีผลกระทบต่อตลาดเช่นกัน เมื่อทรัมป์ประกาศปลด นางเอริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ หัวหน้าสำนักงานสถิติแรงงาน หลังจากข้อมูลจ้างงานถูกเปิดเผยออกมา ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า นางสาวเอเดรียนา คุกเลอร์ หนึ่งในผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลาออกก่อนกำหนดในวันที่ 8 สิงหาคมนี้ ซึ่งอาจเปิดทางให้ทรัมป์แต่งตั้งผู้ว่าการเฟดคนใหม่ ขณะยังคงกดดันประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวล ให้ลดอัตราดอกเบี้ยโดยเร็ว

นอกจากนี้ ดัชนี CBOE Volatility Index หรือ “ดัชนีความกลัว” ก็พุ่งขึ้น 3.66 จุด มาปิดที่ 20.38 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน บ่งชี้ถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดการเงินสหรัฐฯ ในช่วงที่นักลงทุนกำลังประเมินทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินที่อาจเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

Back to top button