
ASL แนะซื้อ HMPRO เป้า 7.90 บ. ครึ่งปีหลังฟื้น รับยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่ม-เปิดสาขาใหม่
ASL แนะ “ซื้อเก็งกำไร” HMPRO ราคาเป้าหมาย 7.90 บาท ชี้ครึ่งปีหลังฟื้นจากอานิสงส์อากาศร้อนดันยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้า-เปิดสาขาใหม่ 11 แห่ง คงประมาณการรายได้ 7 หมื่นล้านบาท และกำไร 6.5 พันล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด หรือ ASL ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (7ส.ค.68) ว่า บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มีกำไรสุทธิ 1,399 ล้านบาท ลดลง 13.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 18.1% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายได้จากการขายและรายได้ค่าเช่ารวม 16,867 ล้านบาท
ขณะที่รายได้จากการขายอยู่ที่ 16,392 ล้านบาท ลดลง 5.79% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากกำลังซื้อที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจ และยอดขายสินค้าหมวดซ่อมแซมที่ชะลอตัว ส่งผลให้ SSSG ในไตรมาส 2/68 ลดลงอยู่ที่ 8.8% ลดลงมากกว่าไตรมาส 1/68 ซึ่งอยู่ที่ 3.3% นอกจากนี้รายได้ค่าเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 17 ล้านบาท หรือ 3.72% จากการรับรู้รายได้ค่าเช่าศูนย์การค้าที่เพิ่งเปิดในจังหวัดหนองคาย
ด้าน GPM อยู่ที่ระดับ 25.82% ลดลงจาก 26.18% ในไตรมาส 1/68 และจาก 26.26% ในไตรมาส 2/67 เป็นผลจากการส่งเสริมยอดขาย และการค้าลดลงของแบ็คมาร์จิ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายยังอยู่ในระดับสูงที่ 19.47%
สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 บริษัทมีแนวโน้มฟื้นตัวจากฐานต่ำในครึ่งปีแรก โดยในไตรมาส 2/68 คาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี เนื่องจากไตรมาส 3/68 มีสภาพอากาศที่ร้อนกว่าช่วงไตรมาส 2/68 ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าทำความเย็น และมีแผนการเปิดสาขาใหม่ 11 สาขา โดยมี 6 สาขา อยู่ใน 4 location ใหม่ ขณะที่ช่วงครึ่งแรกปี 2568 ไม่มีการเปิดสาขาใหม่ประกอบกับเริ่มเห็นการ renovate มากขึ้นในกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว และแนวโน้มของการปรับปรุงบ้านเก่ามากขึ้น ด้านผู้บริหารมองภาพทั้งปี SSSG จะอยู่ที่ในช่วงลดลง 3-5% และตั้งเป้าค่าใช้จ่ายต่อยอดขายทรงตัวจากปีก่อนที่ระดับ 19.1% ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยจากการ refinance หุ้นกู้แล้วอัตราดอกเบี้บเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
โดย ASL คงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” HMPRO ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่ 7.90 บาท โดยยังคงประมาณการรายได้และกำไรไว้เท่าเดิมเท่ากับ 7 หมื่นล้านบาท และ 6.5 พันล้านบาท ตามลำดับ ด้าน EPS ทั้งปีเท่ากับ 0.53 บาทต่อหุ้น ซึ่งรวมผลจากโครงการซื้อหุ้นคืนสูงสุดที่จำนวน 800 ล้านหุ้นแล้ว และอิง PER ที่ระดับ 17.50 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่า PER เฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี