
THAI บวก 3% ขานรับกำไร Q2 โต 38 เท่าตัว แตะ 1.21 หมื่นล้านบาท
THAI บวก 3% ขานรับกำไร Q2 โต 38 เท่าตัว แตะ 1.21 หมื่นล้านบาท รับอานิสงส์อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เพิ่มขึ้น 77%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ส.ค. 68) ราคาหุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ณ เวลา 10:11 น. อยู่ที่ระดับ 13.80 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 2.99% สูงสุดที่ระดับ 14.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 13.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 941.57 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้น THAI ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตอบรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/68 บริษัทมีกำไรสุทธิ 12,124.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,860.38% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 306.14 ล้านบาท โดยเป้นผลมาจากบริษัทมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) จำนวน 44,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 847 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.9% โดยรายได้หลักมาจากค่าโดยสารและค่าน้ำหนักส่วนเกิน คิดเป็นสัดส่วน 80.6% ของรายได้รวม จำนวน 36,142 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.1%
โดยมีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 15.6% และปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 9.7% จากการกลับมาให้บริการเส้นทางยุโรป เช่น ออสโล มิลาน และบรัสเซลส์ รวมถึงเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางเอเชีย ส่งผลให้อัตราการใช้ประโยชน์เครื่องบินเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 13.1 เป็น 13.5 ชั่วโมงต่อวัน อัตราการบรรทุกผู้โดยสารอยู่ที่ 77.0% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 73.2% สะท้อนถึงการปรับเครือข่ายเส้นทางบินและพันธมิตรด้านรหัสเที่ยวบินร่วม (Codeshare) ที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม รายได้เฉลี่ยต่อหน่วยของผู้โดยสารลดลงเหลือ 2.66 บาท หรือลดลง 13.4% จากการแข่งขันและการเพิ่มเที่ยวบินของสายการบินคู่แข่ง
ด้านรายได้จากค่าระวางขนส่งและไปรษณียภัณฑ์คิดเป็น 9.9% ของรายได้รวม อยู่ที่ 4,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 230 ล้านบาท (+5.6%) จากปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น 14.7% อัตราการขนส่งพัสดุภัณฑ์เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 52.4% จาก 51.5% ตามแนวโน้มการส่งออกสินค้า ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อหน่วยจากพัสดุภัณฑ์อยู่ที่ 8.62 บาท ลดลง 7.5% จากการแข่งขันที่รุนแรง รายได้กิจการอื่นๆ ซึ่งรวมถึงบริการภาคพื้น ครัวการบิน คลังสินค้า และฝ่ายช่าง รวม 2,747 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80 ล้านบาท (+3.1%) ตามการให้บริการคลังสินค้าและงานซ่อมเครื่องบินที่เพิ่มขึ้น ส่วนรายได้อื่นๆ เช่น ดอกเบี้ยรับและค่าปรับ อยู่ที่ 1,517 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 483 ล้านบาท (+46.8%) จากดอกเบี้ยรับที่เพิ่มตามเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่สูงขึ้น
ขณะที่บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) อยู่ที่ 34,648 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3,408 ล้านบาท หรือ 9.0% โดยค่าน้ำมันเครื่องบินอยู่ที่ 11,278 ล้านบาท คิดเป็น 32.6% ของค่าใช้จ่ายรวม ลดลง 2,464 ล้านบาท (-17.9%) จากราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ลดลง 15.4% และเงินบาทแข็งค่าจาก 36.71 เป็น 33.11 บาทต่อดอลลาร์ แม้ปริมาณการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้นจากเที่ยวบินที่มากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานไม่รวมน้ำมัน อยู่ที่ 23,370 ล้านบาท ลดลง 944 ล้านบาท (-3.9%)
โดยไตรมาสนี้ บริษัทฯ รับรู้กำไรพิเศษจากการยกเลิกสัญญาเช่าเครื่องบินจำนวน 4,980 ล้านบาท จากการซื้อเครื่องบิน Boeing 777-300ER จำนวน 4 ลำที่เคยเช่าดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 1,190 ล้านบาท แบ่งเป็น Unrealized FX Gain 1,047 ล้านบาท และ Realized FX Gain 143 ล้านบาท จากการแข็งค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์และเยน ณ สิ้นไตรมาส รวมถึงการกลับรายการขาดทุนจากการด้อยค่าตาม TFRS 9 จำนวน 10 ล้านบาท และกำไรจากการขายสินทรัพย์อื่นๆ 2 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังมีกำไรจากการดำเนินงานไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว จำนวน 6,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 501% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,129 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ รับรู้ขาดทุนจากหลายรายการ อาทิ ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 1 ล้านบาท (ปีก่อนเป็นกำไร 15 ล้านบาท) ขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้ 3 ล้านบาท ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ 85 ล้านบาท และขาดทุนจากการวัดมูลค่าตราสารอนุพันธ์ 746 ล้านบาท จากสัญญา Cross Currency Swap ซึ่งบริษัทใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
สำหรับผลการดำเนินงานโดยรวม EBITDA ในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 13,408 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,158 ล้านบาท หรือ 45.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวมลดลงจาก 86.5% เป็น 77.3% และ CASK (ไม่รวมค่าน้ำมัน) ลดลงจาก 1.5203 บาท เหลือ 1.3315 บาท ส่งผลให้ผลประกอบการปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสนี้