
BKA เด้ง 3% ผนึก “BAM-UOB” เสริมพอร์ตบ้านมือสอง หนุนรายได้ปีนี้โต 20%
BKA บวก 3% รับข่าวลงนาม BAM-แบงก์ยูโอบี มุ่งระบายทรัพย์ NPA กว่า 24,000 รายการ มูลค่า 72,000 ล้านบาท อย่างทรัพย์บ้านมือสองให้ BKA รวม 100 รายการ มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท คาดดันรายได้โตเข้าเป้าหมาย 15-20%
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (8 ส.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ณ เวลา 10:28 น. อยู่ที่ระดับ 1.67 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 3.09% สูงสุดที่ระดับ 1.68 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.64 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.49 ล้านบาท
โดยเป็นผลมาจาก บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า BAM ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางธุรกิจ (MOU) กับ BKA และธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) หรือ UOB เพื่อพลิกทรัพย์ร้างเป็นทรัพย์สร้างกำไร โดยเฉพาะการเร่งระบายทรัพย์รอการขาย (NPA) ที่มีอยู่ในพอร์ตจำนวน 24,000 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวม 72,000 ล้านบาท
สำหรับความร่วมมือกับ BKA ในครั้งนี้ BAM ตั้งเป้าระบายทรัพย์ประเภทบ้านมูลค่า 5-10 ล้านบาท จำนวน 5-10 รายการให้กับ BKA คิดเป็นมูลค่ารวม 100 ล้านบาท ในเฟสถัดไปพร้อมระบายทรัพย์ให้ BKA เพิ่มเติม 50-100 รายการ ภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท
นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKA เผยว่า ความร่วมมือกับ BAM ในครั้งนี้ จะทำให้เกิดโมเดลใหม่ที่ครบวงจร โดย BAM ในฐานะผู้ที่มีทรัพย์ NPA คุณภาพหลากหลาย พร้อมสำหรับการพัฒนา ขณะที่ BKA เป็นผู้ให้บริการโดยการนำทรัพย์ NPA มาปรับปรุง-ฟื้นฟู-ต่อยอด-พร้อมอยู่ รวมถึงทำการขายอย่างครบวงจร ด้าน UOB มีบทบาทในการสนับสนุนด้านสินเชื่อ
ทั้งนี้ BKA จะอยู่ระหว่างกลางการเชื่อมต่อ “ทรัพย์-การพัฒนา-การเงิน” เพื่อให้บ้านมือสองกลายเป็น “บ้านพร้อมอยู่” ที่มีศักยภาพสูง และเพิ่มพอร์ตบ้านในมือของ BKA ให้ครอบคลุม และหลากหลายพื้นที่มากขึ้น โดยล็อตแรกจะมีการเข้าไปลงทุนในทรัพย์ 10 หลัง ซึ่งจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 200-300 ล้านบาท และในระยะถัดไปจะมีอีก 50-100 หลัง
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 30% จากเดิมเฉลี่ยประมาณ 20% เนื่องจากจะช่วยลดขั้นตอนการดำเนินการลง ขณะที่ในปี 2568 บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,142.46 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/2568 บริษัทมีรายได้รวมแล้ว 190.25 ล้านบาท
นายพชร กล่าวต่อว่า หลังจากที่บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับปรุง (รีโนเวท) บ้านพร้อมขายเป็น 400-500 หลัง จากช่วงก่อนเข้าจดทะเบียนให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำได้ 200-300 หลัง และสร้างยอดขายประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ บริษัทจะใช้เวลาในการรีโนเวทบ้านประมาณ 8-10 เดือน โดยใช้งบปรับปรุงเฉลี่ยที่ประมาณ 7 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาทต่อหลัง